อัตราแลกเปลี่ยนล่าสุด: 1 ดอลลาร์สหรัฐ เท่ากับกี่บาท (Live Rate)

คำถามที่ว่า “1 ดอลลาร์เท่ากับกี่บาท” ยังคงเป็นหนึ่งในคำค้นหายอดนิยมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นนักเดินทางที่วางแผนไปต่างประเทศ ผู้สั่งซื้อสินค้าออนไลน์จากเว็บต่างชาติ หรือนักลงทุนที่ติดตามตลาดโลก การรับรู้อัตราแลกเปลี่ยนที่แม่นยำและทันสมัยจึงไม่ใช่แค่เรื่องข้อมูล แต่คือเครื่องมือสำคัญในการตัดสินใจด้านการเงิน
ในวันนี้ อัตราแลกเปลี่ยนกลางของ 1 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) อยู่ที่ประมาณ 36.75 บาท (THB) อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้เป็นเพียงจุดอ้างอิง เพราะในความเป็นจริง อัตราจะมีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลาตามสภาวะตลาดการเงินโลก ข่าวเศรษฐกิจ หรือแม้แต่การเคลื่อนไหวของนักลงทุนรายใหญ่ การอ้างอิงจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้และอัปเดตแบบเรียลไทม์จึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะเมื่อคุณต้องการซื้อหรือขายเงิน ควรทราบว่า “อัตราซื้อ” และ “อัตราขาย” ที่ธนาคารหรือร้านแลกเงินเสนอ จะต่างจากอัตรากลางเล็กน้อย ซึ่งเป็นส่วนต่างที่เรียกว่า Spread
กราฟแสดงอัตราแลกเปลี่ยน USD/THB ในอดีต
การย้อนกลับไปดูแนวโน้มค่าเงินในอดีตไม่ใช่แค่การดูตัวเลข แต่คือการถอดรหัสเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลต่อค่าเงิน ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการเงิน นโยบายรัฐ หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง กราฟอัตราแลกเปลี่ยนย้อนหลังช่วยให้เห็นจุดสูงสุดและต่ำสุดอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญสำหรับการวางแผนทางการเงินระยะยาว

ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เร่งปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ ส่งผลให้นักลงทุนหันไปถือสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นในสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ช่วงที่การท่องเที่ยวในไทยกลับมาคึกคัก โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีนและเอเชีย ได้ช่วยดันให้เงินบาทฟื้นตัวและแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย การวิเคราะห์กราฟย้อนหลัง 5 ปี จะยิ่งเผยให้เห็นรูปแบบของความผันผวนที่เกิดจากปัจจัยภายนอกและภายในประเทศ ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีค่าต่อทั้งนักลงทุนและผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจข้ามพรมแดน
ดอลลาร์สหรัฐ (USD) คืออะไร? ประวัติและข้อมูลสำคัญ
ดอลลาร์สหรัฐ หรือ USD ไม่ใช่แค่สกุลเงินของสหรัฐอเมริกา แต่คือสกุลเงินที่มีบทบาทสำคัญที่สุดในระบบเศรษฐกิจโลก ถูกใช้เป็นสกุลเงินสำรองหลักของธนาคารกลางทั่วโลก และเป็นสกุลเงินที่ใช้ในการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันและทองคำ ทำให้ทุกการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ย่อมส่งผลต่อประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
ประวัติโดยย่อของเงินดอลลาร์
ดอลลาร์สหรัฐเริ่มต้นอย่างเป็นทางการในปี ค.ศ. 1792 จากการประกาศใช้ Coinage Act ซึ่งกำหนดให้ดอลลาร์เป็นหน่วยเงินตราหลักของประเทศ โดยมีมูลค่าผูกกับโลหะเงินและทองคำ ผ่านระบบที่เรียกว่า “มาตรฐานทองคำ” อย่างไรก็ตาม ในปี 1971 ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน ประกาศยกเลิกระบบนี้ เนื่องจากสหรัฐไม่สามารถรับมือกับความต้องการแลกทองคำได้อีกต่อไป ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ดอลลาร์กลายเป็น “สกุลเงินลอยตัว” ที่มูลค่าไม่ได้ผูกกับสินทรัพย์ใดๆ แต่ถูกกำหนดโดยอุปสงค์และอุปทานในตลาดโลก
สัญลักษณ์ ($) และรหัสสากล (USD)
เครื่องหมาย “$” เป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่รู้จักกันทั่วโลก แม้ไม่ใช่แค่ดอลลาร์สหรัฐที่ใช้สัญลักษณ์นี้ แต่ในทางปฏิบัติ ถ้าไม่มีการระบุประเทศอื่น มักหมายถึง USD โดยรหัสสากล “USD” ตามมาตรฐาน ISO 4217 ใช้แยกแยะอย่างชัดเจน ป้องกันความสับสนในธุรกรรมระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการโอนเงิน ซื้อขายหุ้น หรือการซื้อขายในตลาด Forex
ธนบัตรและเหรียญที่ใช้ในปัจจุบัน
ธนบัตรดอลลาร์สหรัฐที่ใช้ในปัจจุบันมีตั้งแต่ $1 ถึง $100 โดยแต่ละฉบับมีบุคคลสำคัญของสหรัฐฯ เป็นสัญลักษณ์ เช่น จอร์จ วอชิงตัน ($1), อับราฮัม ลินคอล์น ($5), และเบนจามิน แฟรงคลิน ($100) ธนบัตรเหล่านี้ผลิตโดย Bureau of Engraving and Printing และมีคุณลักษณะด้านความปลอดภัยสูง ป้องกันการปลอมแปลง ส่วนเหรียญที่ใช้ประจำวันมีตั้งแต่ 1 เซนต์ (Penny) ไปจนถึงเหรียญ 1 ดอลลาร์ โดยมีการใช้โลหะผสมต่างๆ และการออกแบบที่แตกต่างกันไป
ปัจจัยหลักที่มีผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนดอลลาร์-บาท

ความผันผวนของค่าเงินไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากการผสมผสานของหลายปัจจัยทางเศรษฐกิจและการเมือง การเข้าใจกลไกเหล่านี้จะช่วยให้คุณมองเห็นภาพรวมและตัดสินใจได้แม่นยำขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนเดินทาง การลงทุน หรือการทำธุรกิจ
- นโยบายการเงิน: การตัดสินใจของธนาคารกลางสหรัฐ (Federal Reserve) และธนาคารแห่งประเทศไทย (Bank of Thailand) เป็นหัวใจสำคัญ หาก Fed ขึ้นดอกเบี้ย นักลงทุนจะหันไปหาสินทรัพย์ในสหรัฐฯ มากขึ้น ทำให้ความต้องการดอลลาร์พุ่งสูง ขณะที่หาก BOT ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจช่วยหนุนค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นได้
- อัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อ: ประเทศที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงแต่เงินเฟ้อต่ำ มักดึงดูดเงินทุนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม หากเงินเฟ้อสูงต่อเนื่อง จะกัดกร่อนมูลค่าของเงิน ทำให้สกุลเงินนั้นเสื่อมค่าลง
- สภาพเศรษฐกิจโดยรวม: ตัวเลข GDP การจ้างงาน และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสะท้อนความแข็งแรงของเศรษฐกิจ ยิ่งเศรษฐกิจเติบโตดี สกุลเงินก็มีแนวโน้มแข็งค่า นักลงทุนจึงติดตามข้อมูลเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
- ดุลการค้าและการลงทุน: ไทยพึ่งพาการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก ดังนั้นเมื่อรายได้จากต่างประเทศสูงกว่ารายจ่าย (เกินดุล) จะเพิ่มความต้องการเงินบาท ทำให้ค่าเงินแข็งค่าขึ้น แต่หากขาดดุล ก็จะกดดันให้บาทอ่อนลง
- สถานการณ์การเมืองโลก: ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงคราม วิกฤตการเมือง หรือความตึงเครียดระหว่างประเทศ มักทำให้นักลงทุนหันไปถือสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ซึ่งหนึ่งในนั้นคือเงินดอลลาร์ ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นในช่วงวิกฤต
แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ในปี 2567 และอนาคต
แม้การคาดการณ์ค่าเงินจะเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน แต่แนวโน้มในปี 2567 ดูเหมือนจะขึ้นอยู่กับทิศทางนโยบายของ Fed เป็นหลัก หลายสถาบันวิเคราะห์ว่า หาก Fed เริ่มลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งหลังของปี อาจส่งผลให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย ซึ่งจะเป็นข่าวดีสำหรับประเทศที่พึ่งพาเงินกู้ต่างประเทศหรือการนำเข้าสินค้า
ในขณะเดียวกัน เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากภาคการท่องเที่ยวที่กลับมาแข็งแรง จะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้เงินบาทมีเสถียรภาพ หรือแม้แต่แข็งค่าขึ้นได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก Bloomberg Markets ชี้ว่า ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ความตึงเครียดทางการค้า และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในปลายปี ยังคงเป็นปัจจัยที่อาจทำให้ดอลลาร์กลับมาแข็งค่าได้ทุกเมื่อ สำหรับผู้ที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนเงินตรา ควรพิจารณาใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เช่น การทำ Forward Contract หรือติดตามตลาดผ่านแพลตฟอร์มเช่น Moneta Markets ซึ่งให้ข้อมูลอัปเดตแบบเรียลไทม์และเครื่องมือวิเคราะห์ที่แม่นยำ
นอกจากสหรัฐอเมริกา มีประเทศไหนใช้เงินดอลลาร์อีกบ้าง?
คุณอาจแปลกใจที่รู้ว่า ดอลลาร์สหรัฐไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น มีหลายประเทศทั่วโลกที่เลือกใช้ USD เป็นสกุลเงินหลัก หรือที่เรียกว่า “Dollarization” โดยเฉพาะประเทศที่เคยประสบปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงหรือเสถียรภาพทางการเงินต่ำ การใช้ดอลลาร์ช่วยลดความผันผวนและสร้างความเชื่อมั่นให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศเหล่านั้น
| ประเทศ/ดินแดน | ภูมิภาค |
|---|---|
| เอกวาดอร์ | อเมริกาใต้ |
| เอลซัลวาดอร์ | อเมริกากลาง |
| ปานามา | อเมริกากลาง |
| หมู่เกาะมาร์แชลล์ | โอเชียเนีย |
| ติมอร์-เลสเต | เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ |
| เปอร์โตริโก (ดินแดนของสหรัฐฯ) | แคริบเบียน |
คำแนะนำ: แลกเงินดอลลาร์ที่ไหนดีให้ได้เรทดีที่สุด

การเลือกสถานที่แลกเงินมีผลโดยตรงต่อจำนวนเงินที่คุณจะได้รับ โดยเฉพาะถ้าแลกในจำนวนมากๆ การเปรียบเทียบเรทจึงไม่ควรถูกมองข้าม ต่อไปนี้คือตัวเลือกหลักๆ ที่ผู้เดินทางมักใช้ในประเทศไทย
- ร้านรับแลกเงินเอกชน: ตัวอย่างเช่น Superrich หรือร้านที่ได้รับอนุญาตจากธนาคารแห่งประเทศไทย มักให้อัตราแลกเปลี่ยนที่ดีที่สุด โดยเฉพาะถ้าแลกจำนวนมาก เนื่องจากร้านเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายต่ำและแข่งขันกันด้านราคา หากคุณเดินทางไปยังย่านธุรกิจหรือห้างใหญ่ คุณสามารถพบกับร้านแลกเงินหลายแห่งที่อัปเดตเรทตลอดวัน
- ธนาคารพาณิชย์: แม้จะสะดวกและมีความน่าเชื่อถือสูง แต่อัตราแลกเปลี่ยนมักไม่ดีเท่าร้านเอกชน เนื่องจากธนาคารมีต้นทุนการดำเนินงานสูงและต้องรักษาส่วนต่างเพื่อผลกำไร อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวกหรือแลกเงินไม่มาก ธนาคารก็ยังเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัย
- สนามบิน: แม้จะสะดวกที่สุด แต่ก็เป็นสถานที่ที่ให้เรทแย่ที่สุด เนื่องจากต้องจ่ายค่าเช่าพื้นที่สูงและแทบไม่มีการแข่งขัน จึงมีส่วนต่างระหว่างราคาซื้อและขายสูงมาก แนะนำให้แลกเฉพาะเงินเล็กน้อยสำหรับค่าแท็กซี่หรือค่าอาหารก่อนเข้าเมือง
เคล็ดลับสำคัญคือ อย่าลืมตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนล่าสุดจากเว็บไซต์ของแต่ละผู้ให้บริการก่อนออกเดินทาง เช่น ร้าน Superrich หรือธนาคารชั้นนำ หรือใช้แพลตฟอร์มอย่าง Moneta Markets ที่ให้ข้อมูลอัตราแลกเปลี่ยนแบบเรียลไทม์และเปรียบเทียบแหล่งข้อมูลได้ในที่เดียว
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 เป็นเท่าไหร่?
อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์สหรัฐในปี 2567 มีความผันผวนสูง โดยเคลื่อนไหวอยู่ในช่วงประมาณ 35.50 ถึง 37.00 บาท อัตราเฉลี่ยจะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดทั้งปี แนะนำให้ตรวจสอบอัตราล่าสุดจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้เสมอ
แนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ในอนาคตเทียบกับเงินบาทจะเป็นอย่างไร?
แนวโน้มในอนาคตขึ้นอยู่กับทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยเป็นหลัก หาก Fed เริ่มลดดอกเบี้ยและเศรษฐกิจไทยเติบโตได้ดี โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว ก็มีแนวโน้มที่เงินบาทจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม ปัจจัยภายนอกยังคงมีความไม่แน่นอนสูง
สัญลักษณ์ $ หมายถึงสกุลเงินอะไร และใช้ในประเทศใดบ้าง?
สัญลักษณ์ $ เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายว่าหมายถึง “ดอลลาร์” ซึ่งเป็นชื่อสกุลเงินของหลายประเทศ นอกจากดอลลาร์สหรัฐ (USD) แล้ว ยังมีประเทศอื่นๆ ที่ใช้ชื่อดอลลาร์และสัญลักษณ์ $ เช่น:
- ดอลลาร์แคนาดา (CAD)
- ดอลลาร์ออสเตรเลีย (AUD)
- ดอลลาร์นิวซีแลนด์ (NZD)
- ดอลลาร์สิงคโปร์ (SGD)
ดังนั้น เพื่อความชัดเจนในการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ จึงนิยมใช้รหัส ISO (เช่น USD, CAD) กำกับเสมอ
100 ดอลลาร์สหรัฐ (USD) สามารถแลกเป็นเงินไทย (THB) ได้ประมาณกี่บาท?
หากอ้างอิงอัตราแลกเปลี่ยนที่ 1 USD = 36.75 THB, เงินจำนวน 100 ดอลลาร์สหรัฐจะสามารถแลกเป็นเงินไทยได้ประมาณ 3,675 บาท อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินที่ได้รับจริงจะขึ้นอยู่กับอัตรา “ซื้อ” ของธนาคารหรือร้านแลกเงิน ณ วันและเวลาที่ทำรายการ ซึ่งจะต่ำกว่าอัตรากลางเล็กน้อย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าหรืออ่อนค่าลงคืออะไร?
ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ “นโยบายอัตราดอกเบี้ย” ของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) เมื่อ Fed ขึ้นอัตราดอกเบี้ย จะดึงดูดเงินลงทุนจากทั่วโลก ทำให้ความต้องการดอลลาร์สูงขึ้นและค่าเงินแข็งค่าขึ้น ในทางตรงกันข้าม หาก Fed ลดดอกเบี้ย เงินดอลลาร์ก็มักจะอ่อนค่าลง ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่ สภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ อัตราเงินเฟ้อ และสถานะการเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยของดอลลาร์
หากต้องการแลกเงินดอลลาร์ ควรแลกที่ไหนถึงจะได้อัตราที่ดีที่สุด?
โดยทั่วไปแล้ว “ร้านรับแลกเงินเอกชน” ที่มีชื่อเสียง เช่น Superrich จะให้เรทที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับธนาคารและเคาน์เตอร์ในสนามบิน แนะนำให้เปรียบเทียบเรทจากเว็บไซต์ของแต่ละเจ้าก่อนไปแลกเสมอ เพื่อให้ได้ความคุ้มค่าสูงสุด
ทำไมอัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารกับร้านข้างนอกถึงไม่เท่ากัน?
ความแตกต่างของอัตราแลกเปลี่ยนเกิดจากโครงสร้างต้นทุนและรูปแบบธุรกิจ ธนาคารมีต้นทุนการดำเนินงานและสาขาที่สูงกว่า จึงต้องกำหนดส่วนต่าง (Spread) ระหว่างราคาซื้อ-ขายให้กว้างขึ้นเพื่อทำกำไร ในขณะที่ร้านแลกเงินเอกชนเน้นธุรกิจแลกเงินโดยเฉพาะและมีการแข่งขันสูง จึงสามารถเสนอเรทที่ดีกว่าเพื่อดึงดูดลูกค้าได้
เราสามารถใช้ธนบัตรดอลลาร์รุ่นเก่าในปัจจุบันได้หรือไม่?
ใช่ ธนบัตรดอลลาร์สหรัฐทุกรุ่นที่ออกโดยรัฐบาลสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 1861 ยังคงสามารถชำระหนี้ได้ตามกฎหมายและมีมูลค่าเต็มตามหน้าธนบัตร อย่างไรก็ตาม ธนบัตรรุ่นเก่ามากๆ อาจไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับร้านค้าทั่วไปในต่างประเทศและอาจถูกปฏิเสธได้ ทางที่ดีควรนำไปแลกที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินเพื่อเปลี่ยนเป็นธนบัตรรุ่นใหม่