Forex คืออะไร? ทำความเข้าใจตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราที่ใหญ่ที่สุดในโลก
Forex หรือที่เรียกอย่างเต็มว่า Foreign Exchange คือตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนสกุลเงินระหว่างประเทศ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในตลาดการเงินที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและคล่องตัวที่สุดในโลก โดยแต่ละวันมีมูลค่าการซื้อขายสูงถึงกว่า 7.5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ตามรายงานจาก Bank for International Settlements (BIS) ปี 2022 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า นี่ไม่ใช่แค่ตลาดสำหรับนักลงทุนรายย่อย แต่เป็นเครื่องจักรทางการเงินระดับโลกที่ขับเคลื่อนโดยธนาคารชั้นนำ สถาบันการเงิน และนักลงทุนทั่วทุกมุมโลก
หากลองนึกภาพให้เห็นชัด เวลาที่คุณเดินทางไปต่างประเทศและแลกเงินบาทเป็นดอลลาร์สหรัฐ (USD) หรือเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่เคาน์เตอร์แลกเปลี่ยน คุณก็ได้สัมผัสกับกลไกพื้นฐานของตลาด Forex แล้ว อย่างไรก็ตาม ความแตกต่างสำคัญคือ นักเทรดในตลาดนี้ไม่ได้แลกเงินเพื่อใช้จ่ายในการท่องเที่ยว แต่เข้ามาเพื่อทำกำไรจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงิน โดยการคาดการณ์ทิศทางของราคาในอนาคต ทำให้ตลาดนี้กลายเป็นจุดหมายของผู้ที่ต้องการสร้างรายได้ผ่านการวิเคราะห์และจังหวะเวลาที่แม่นยำ
หัวใจหลักของการเทรด Forex คือการคาดเดาว่าสกุลเงินใดจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อเทียบกับอีกสกุลหนึ่ง หากคุณสามารถประเมินทิศทางได้ถูกต้อง คุณก็จะได้กำไรจากส่วนต่างของราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ความเร็ว ความคล่องตัว และโอกาสในการทำกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง ทำให้ Forex เป็นที่สนใจของทั้งนักลงทุนสถาบันและผู้เริ่มต้นทั่วไป

ตลาด Forex ทำงานอย่างไร? ใครคือผู้เล่นหลัก
ต่างจากตลาดหุ้นที่มีศูนย์กลางการซื้อขาย เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตลาด Forex ทำงานในลักษณะกระจายศูนย์ (Decentralized) หรือที่เรียกว่า Over-the-Counter (OTC) นั่นหมายความว่า การซื้อขายไม่เกิดขึ้นในสถานที่เดียว แต่เกิดขึ้นผ่านเครือข่ายอิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก โดยเชื่อมโยงระหว่างธนาคาร โบรกเกอร์ องค์กร และนักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อย
โครงสร้างนี้เองที่ทำให้ตลาด Forex เปิดตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์ (จันทร์ถึงศุกร์) โดยเริ่มจากตลาดซิดนีย์ ตามด้วยโตเกียว ลอนดอน และปิดท้ายที่นิวยอร์ก ซึ่งแต่ละตลาดเปิดทับซ้อนกันบางช่วงเวลา โดยเฉพาะช่วงลอนดอน-นิวยอร์กที่มีปริมาณการซื้อขายหนาแน่นที่สุด ส่งผลให้เทรดเดอร์สามารถเข้าตลาดได้ทุกเวลา ไม่ว่าจะอยู่ในซีกโลกไหน
ในตลาดที่มีมูลค่ามหาศาลนี้ มีผู้เล่นหลักหลายกลุ่มที่ขับเคลื่อนสภาพคล่องและความผันผวน ได้แก่:
- ธนาคารกลางและรัฐบาล: หน่วยงานเช่น ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) หรือธนาคารแห่งประเทศไทย (BOT) มีบทบาทสำคัญในการควบคุมนโยบายการเงิน และอาจแทรกแซงตลาดโดยตรงเพื่อควบคุมค่าเงิน ไม่ว่าจะเพื่อป้องกันการผันผวนรุนแรง หรือสนับสนุนการส่งออก
- สถาบันการเงินและธนาคารพาณิชย์: ธนาคารใหญ่ๆ เป็นผู้เล่นรายใหญ่ที่สุดในตลาด โดยดำเนินการซื้อขายทั้งเพื่อรองรับลูกค้าองค์กร และเพื่อผลกำไรของตนเอง พวกเขาเป็นแหล่งสำคัญที่สร้างสภาพคล่องให้กับตลาด
- บริษัทข้ามชาติ: องค์กรที่ทำธุรกิจข้ามประเทศต้องแลกเปลี่ยนสกุลเงินเพื่อจ่ายค่าสินค้า บริการ หรือลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งการดำเนินการเหล่านี้มีผลต่ออุปสงค์-อุปทานของสกุลเงิน
- นักลงทุนรายย่อย: หรือที่เรียกว่า Retail Traders คือกลุ่มผู้ที่เข้ามาเทรดผ่านโบรกเกอร์ โดยใช้แพลตฟอร์มออนไลน์เพื่อเข้าถึงตลาดโลก กลุ่มนี้อาจมีสัดส่วนมูลค่าการซื้อขายไม่มาก แต่จำนวนผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในยุคดิจิทัล
รู้จัก “คู่สกุลเงิน” (Currency Pairs) หัวใจของการเทรด Forex
การเทรดในตลาด Forex เกิดขึ้นในรูปแบบของ “คู่สกุลเงิน” เสมอ ซึ่งประกอบด้วยสองสกุลเงินที่ถูกจับคู่กัน เช่น EUR/USD โดยสกุลเงินตัวแรกเรียกว่า สกุลเงินหลัก (Base Currency) และตัวที่สองคือ สกุลเงินรอง (Quote Currency) อัตราแลกเปลี่ยนที่แสดง คือจำนวนหน่วยของสกุลเงินรองที่จำเป็นต้องใช้เพื่อซื้อสกุลเงินหลัก 1 หน่วย
ยกตัวอย่างเช่น หากคู่เงิน EUR/USD อยู่ที่ 1.0850 แปลว่า 1 ยูโรแลกได้ 1.0850 ดอลลาร์สหรัฐ หากคุณเชื่อว่าค่าเงินยูโรจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ คุณก็จะทำการ “ซื้อ” (Buy) คู่ EUR/USD และหากคาดว่ายูโรจะอ่อนค่า คุณก็จะ “ขาย” (Sell) กลไกนี้ทำให้คุณสามารถทำกำไรได้ทั้งเมื่อสกุลเงินขึ้นและลง ขึ้นอยู่กับทิศทางที่คุณคาดการณ์
คู่เงินหลัก (Major Pairs)
คู่เงินหลัก หรือ Majors คือกลุ่มที่มีการซื้อขายบ่อยที่สุดในตลาด มีสภาพคล่องสูงและสเปรดต่ำ ซึ่งทำให้มีความเสี่ยงค่อนข้างต่ำกว่ากลุ่มอื่น ทุกคู่จะมีดอลลาร์สหรัฐ (USD) เป็นส่วนหนึ่ง ได้แก่:
- EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ)
- GBP/USD (ปอนด์สเตอร์ลิง/ดอลลาร์สหรัฐ)
- USD/JPY (ดอลลาร์สหรัฐ/เยนญี่ปุ่น)
- AUD/USD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ดอลลาร์สหรัฐ)
- USD/CHF (ดอลลาร์สหรัฐ/ฟรังก์สวิส)
โดยเฉพาะ EUR/USD ที่ถือเป็นคู่ที่มีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในโลก เนื่องจากเป็นการแข่งขันกันระหว่างสองเศรษฐกิจหลักของโลก ทำให้ได้รับความนิยมสูงจากเทรดเดอร์ทั่วไปและมืออาชีพ
คู่เงินรอง (Minor/Cross Pairs)
คู่เงินรอง หรือ Cross Pairs คือคู่ที่ไม่รวมดอลลาร์สหรัฐ เช่น EUR/GBP หรือ AUD/JPY กลุ่มนี้มักสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจหลักที่ไม่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ โดยทั่วไปมีสภาพคล่องน้อยกว่าคู่หลัก และอาจมีสเปรดที่สูงกว่า แต่ก็เปิดโอกาสให้เทรดเดอร์สามารถลงทุนในแนวโน้มเฉพาะเจาะจง เช่น การเปลี่ยนแปลงในนโยบายการเงินของยุโรปและอังกฤษ
- EUR/GBP (ยูโร/ปอนด์สเตอร์ลิง)
- EUR/JPY (ยูโร/เยนญี่ปุ่น)
- GBP/JPY (ปอนด์สเตอร์ลิง/เยนญี่ปุ่น)
- AUD/JPY (ดอลลาร์ออสเตรเลีย/เยนญี่ปุ่น)
คู่เงินเกิดใหม่ (Exotic Pairs)
คู่เงิน Exotic คือการจับคู่ระหว่างสกุลเงินหลักกับสกุลเงินของประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น ดอลลาร์สหรัฐกับบาทไทย (USD/THB) หรือยูโรกับลีราตุรกี (EUR/TRY) กลุ่มนี้มีลักษณะเด่นคือความผันผวนสูง และมักมีสเปรดที่กว้างมาก ซึ่งส่งผลให้ความเสี่ยงสูงตามไปด้วย เหมาะกับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์และสามารถจัดการความเสี่ยงได้ดี
- USD/THB (ดอลลาร์สหรัฐ/บาทไทย)
- USD/SGD (ดอลลาร์สหรัฐ/ดอลลาร์สิงคโปร์)
- EUR/TRY (ยูโร/ลีราตุรกี)

คำศัพท์พื้นฐานที่เทรดเดอร์ Forex มือใหม่ต้องรู้
ก่อนเริ่มเทรด ผู้เริ่มต้นควรทำความเข้าใจคำศัพท์หลักๆ ที่ใช้บ่อยในตลาด เพื่อให้สามารถอ่านข้อมูล วิเคราะห์กราฟ และตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- Pip (จุด): หน่วยย่อยที่สุดของความเปลี่ยนแปลงราคาในคู่เงิน สำหรับคู่ส่วนใหญ่ 1 Pip เท่ากับ 0.0001 (ทศนิยมตำแหน่งที่ 4) แต่สำหรับคู่ที่มีเยน (JPY) จะเป็น 0.01 (ทศนิยมตำแหน่งที่ 2) เช่น ค่าเงิน USD/JPY เปลี่ยนจาก 150.25 เป็น 150.26 ถือว่าขยับ 1 Pip
- Lot Size: ขนาดของการซื้อขาย แบ่งเป็น Standard Lot (100,000 หน่วย), Mini Lot (10,000 หน่วย), และ Micro Lot (1,000 หน่วย) การเลือกขนาด Lot ต้องสอดคล้องกับเงินทุนและแผนบริหารความเสี่ยง
- Leverage: หรือเลเวอเรจ คือการใช้เงินทุนก้อนเล็กเพื่อควบคุมตำแหน่งการเทรดที่ใหญ่ขึ้น เช่น Leverage 1:100 หมายความว่า คุณใช้เงิน 1 ดอลลาร์ แต่สามารถเทรดได้เทียบเท่า 100 ดอลลาร์ แม้จะช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงในการขาดทุนอย่างรวดเร็ว
- Margin: เงินประกันที่ต้องวางไว้เพื่อรักษากำลังซื้อในตำแหน่งที่เปิดไว้ โดยอัตราจะขึ้นอยู่กับขนาด Lot และ Leverage ที่ใช้
- Spread: คือส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ (Bid) และราคาเสนอขาย (Ask) ถือเป็นค่าธรรมเนียมโดยธรรมชาติที่โบรกเกอร์เรียกเก็บ เช่น ถ้า EUR/USD มี Bid ที่ 1.0848 และ Ask ที่ 1.0850 แปลว่า Spread คือ 2 Pip
- Bid/Ask Price: Bid คือราคาที่คุณสามารถ “ขาย” สกุลเงินหลักได้ ส่วน Ask คือราคาที่คุณจะ “ซื้อ” ได้ ราคา Ask จะสูงกว่าราคา Bid เสมอ

เครื่องมือวิเคราะห์ตลาด: จากตารางคู่เงินสู่ “ตะกร้าค่าเงิน”
เทรดเดอร์มือใหม่มักเริ่มจากการดู “ตารางคู่เงิน Forex” ที่แสดงราคาแบบเรียลไทม์ แต่การมองเพียงคู่เดียวอาจทำให้พลาดภาพรวมของตลาดทั้งหมด เพราะการเคลื่อนไหวของสกุลเงินหนึ่งอาจถูกผลักดันโดยหลายปัจจัยจากหลายคู่เงิน
ทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นคือการใช้ “ตะกร้าค่าเงิน” หรือที่รู้จักในชื่อ Currency Strength Meter ซึ่งช่วยให้เห็นภาพรวมของแต่ละสกุลเงินว่าแข็งค่าหรืออ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ โดยรวม แทนที่จะดูแค่ EUR/USD ว่า EUR แข็งขึ้นหรือไม่ คุณจะเห็นว่า EUR แข็งขึ้นเมื่อเทียบกับ GBP, JPY, AUD หรือ CHF ด้วยหรือไม่
เครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงสำหรับการวิเคราะห์นี้คือ Finviz Forex ซึ่งแสดงความแข็งแกร่งของแต่ละสกุลเงินแบบเรียลไทม์ ช่วยให้เทรดเดอร์ตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลสนับสนุน เช่น หาก USD แสดงสีเขียว (แข็งแรง) และ THB แสดงสีแดง (อ่อนแอ) การพิจารณาซื้อ USD/THB ก็อาจมีแนวโน้มทำกำไรสูงกว่า นี่คือการเปลี่ยนจากการเทรดแบบสุ่มมาเป็นการเทรดที่มีเหตุผลและมีกลยุทธ์ ซึ่งเป็นแนวทางที่เทรดเดอร์ระดับมืออาชีพนิยมใช้
นอกจากนี้ โบรกเกอร์ชั้นนำอย่าง Moneta Markets ยังให้บริการเครื่องมือวิเคราะห์ขั้นสูงที่เข้ากันได้ดีกับแนวทางนี้ โดยมีแพลตฟอร์มที่เสถียร ค่าสเปรดต่ำ และรองรับการใช้งานร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ภายนอกอย่าง Finviz และ TradingView ทำให้ผู้ใช้สามารถสร้างกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
5 ขั้นตอนเริ่มต้นเทรด Forex สำหรับมือใหม่
การเริ่มต้นในตลาด Forex อาจดูซับซ้อน แต่ถ้าทำตามขั้นตอนอย่างเป็นระบบ ก็สามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จได้อย่างมาก
- ศึกษาความรู้พื้นฐานให้ครบถ้วน: เริ่มจากเข้าใจกลไกตลาด คู่สกุลเงิน คำศัพท์พื้นฐาน และเรียนรู้การวิเคราะห์ทั้งทางเทคนิค (Technical Analysis) และปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) ความรู้คือเกราะป้องกันความเสี่ยงที่ดีที่สุด
- เลือกโบรกเกอร์ที่มีความน่าเชื่อถือและได้รับการกำกับดูแล: เช่น Moneta Markets ที่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลระดับสากล มีความโปร่งใสในเรื่องค่าธรรมเนียม และมีแพลตฟอร์มที่เสถียร รองรับทั้ง MT4 และ MT5
- ฝึกฝนด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account): ใช้บัญชีเสมือนจริงเพื่อทดสอบกลยุทธ์ ทำความเข้าใจแพลตฟอร์ม และเรียนรู้การจัดการอารมณ์ โดยไม่ต้องเสี่ยงเงินจริง
- วางแผนการเทรดและบริหารความเสี่ยง: กำหนดกฎการเข้า-ออกตำแหน่ง ตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) ทุกครั้ง และอย่าเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนต่อครั้ง การจัดการความเสี่ยงคือหัวใจของความอยู่รอดในตลาด
- เริ่มต้นด้วยเงินจริงในปริมาณที่รับได้: เมื่อคุณสามารถทำกำไรได้สม่ำเสมอในบัญชี Demo แล้ว ให้เริ่มต้นด้วยเงินจำนวนน้อยที่คุณยอมขาดทุนได้ และค่อยๆ ขยายพอร์ตเมื่อมีประสบการณ์และความมั่นใจมากขึ้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับ Forex (FAQ)
คู่เงิน forex ที่นิยมเทรดมากที่สุดคือคู่ไหน?
คู่เงินที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ EUR/USD (ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐ) เนื่องจากมีปริมาณการซื้อขายมากที่สุดในตลาด ส่งผลให้มีสภาพคล่องสูง ค่าสเปรดต่ำ และมีความผันผวนที่สามารถคาดเดาได้ค่อนข้างดี ทำให้เหมาะกับทั้งมือใหม่และมือเก่า
เราสามารถดูกราฟ Forex แบบเรียลไทม์ (real time) ได้จากที่ไหนบ้าง?
กราฟ Forex แบบเรียลไทม์สามารถเข้าถึงได้จากหลายช่องทาง เช่น:
- แพลตฟอร์มการเทรดของโบรกเกอร์ เช่น MetaTrader 4 (MT4) และ MetaTrader 5 (MT5)
- เว็บไซต์วิเคราะห์กราฟยอดนิยมอย่าง TradingView ที่มีทั้งเครื่องมือทางเทคนิคและชุมชนนักวิเคราะห์
- เว็บข่าวการเงินระดับโลกอย่าง Bloomberg และ Reuters ที่ให้ข้อมูลแบบเรียลไทม์และข้อมูลพื้นฐานควบคู่กัน
28 คู่เงิน forex ที่สำคัญประกอบด้วยอะไรบ้าง?
28 คู่เงินหลักนี้เกิดจากการจับคู่กันของ 8 สกุลเงินหลัก ได้แก่ USD, EUR, JPY, GBP, CHF, CAD, AUD และ NZD ซึ่งรวมทั้งคู่เงินหลัก (Majors), คู่รอง (Minors หรือ Crosses) ทั้งหมดที่เป็นไปได้จากการจับคู่เหล่านี้ โดยมีทั้งคู่ที่มี USD และไม่มี USD
การเทรด Forex ในประเทศไทยถูกกฎหมายหรือไม่?
ปัจจุบัน ยังไม่มีกฎหมายเฉพาะในประเทศไทยที่อนุญาตหรือกำกับดูแลการเทรด Forex ของนักลงทุนรายย่อยโดยตรง อย่างไรก็ตาม การที่ประชาชนเปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ต่างประเทศที่ได้รับใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลในประเทศของตน เช่น FCA, CySEC หรือ ASIC ถือว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่ผู้ลงทุนต้องรับความเสี่ยงทั้งหมดเอง เนื่องจากไม่ได้รับการคุ้มครองจากหน่วยงานในประเทศไทย
ต้องใช้เงินทุนเริ่มต้นเท่าไหร่ในการเทรด Forex?
โบรกเกอร์หลายรายอนุญาตให้เริ่มต้นได้เพียง 10-100 ดอลลาร์สหรัฐ แต่เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการบริหารความเสี่ยงและลดโอกาสขาดทุนเร็ว ผู้เชี่ยวชาญมักแนะนำให้เริ่มต้นที่ 500-1,000 ดอลลาร์สหรัฐ โดยเฉพาะหากใช้กลยุทธ์ที่ต้องกระจายการเทรดหลายตำแหน่ง
ตะกร้าค่าเงิน (Currency Basket) ใน Finviz คืออะไร และช่วยวิเคราะห์ได้อย่างไร?
ตะกร้าค่าเงินใน Finviz คือเครื่องมือที่วัดความแข็งแกร่งของสกุลเงินแต่ละตัวโดยรวมผลจากหลายคู่เงินพร้อมกัน ช่วยให้เห็นภาพรวมว่าสกุลเงินใดกำลังถูกซื้อสะสม (แข็งแรง) และสกุลเงินใดกำลังถูกเทขาย (อ่อนแอ) ซึ่งช่วยให้เลือกคู่เทรดได้อย่างแม่นยำ เช่น การซื้อสกุลเงินที่แข็งแกร่งที่สุดและขายสกุลเงินที่อ่อนแอที่สุด
Forex Factory คือเว็บไซต์เกี่ยวกับอะไร?
Forex Factory เป็นเว็บไซต์ชุมชนและแหล่งข้อมูลชั้นนำสำหรับเทรดเดอร์ทั่วโลก โดยมีจุดเด่นที่ “ปฏิทินเศรษฐกิจ” ที่แสดงกำหนดการประกาศข้อมูลสำคัญ เช่น อัตราดอกเบี้ย, ดัชนีการจ้างงาน, GDP ซึ่งมีผลต่อความผันผวนของค่าเงิน นอกจากนี้ยังมีฟอรัมสำหรับแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและกลยุทธ์การเทรดจากผู้ใช้งานทั่วโลก
Leverage สูงมีความเสี่ยงอย่างไร?
Leverage สูงเปรียบเสมือนดาบสองคม แม้จะช่วยให้ทำกำไรได้มากขึ้นจากเงินทุนน้อย แต่ก็ทำให้ขาดทุนเร็วขึ้นเช่นกัน หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางเพียงเล็กน้อย อาจทำให้เงินประกัน (Margin) หมดอย่างรวดเร็ว และเกิด Margin Call หรือการล้างพอร์ตได้ทันที โดยเฉพาะหากไม่มีการตั้ง Stop Loss
ควรฝึกฝนในบัญชี Demo นานแค่ไหนก่อนเริ่มเทรดจริง?
ไม่มีระยะเวลาที่ตายตัว แต่โดยทั่วไปควรฝึกซ้อมอย่างน้อย 3-6 เดือน หรือจนกว่าคุณจะสามารถทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอในสภาวะตลาดต่างๆ มีวินัยในการบริหารความเสี่ยง และสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดี ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความสำเร็จในระยะยาว
ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) คืออะไร?
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ใช้การศึกษากราฟราคาในอดีต อินดิเคเตอร์ และรูปแบบต่างๆ เพื่อคาดการณ์ทิศทางราคาในอนาคต โดยเชื่อว่า “ราคาสะท้อนทุกอย่างแล้ว” ส่วน การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) มุ่งเน้นที่ปัจจัยเศรษฐกิจ ทางการเมือง และสังคม เช่น อัตราดอกเบี้ย, ข้อมูลการจ้างงาน, เศรษฐกิจมหภาค เพื่อประเมินมูลค่าที่แท้จริงของสกุลเงิน