เปิดโลก Forex: ไขทุกคำศัพท์สำคัญที่นักเทรดมือใหม่ต้องรู้
ตลาด Forex หรือตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ เป็นหนึ่งในตลาดการเงินที่มีสภาพคล่องสูงสุดและมีการซื้อขายมากที่สุดในโลก การก้าวเข้าสู่สนามการลงทุนแห่งนี้ ไม่ใช่เพียงแค่การมีเงินทุนเท่านั้น แต่ยังต้องมี “ความรู้” เป็นเข็มทิศนำทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำความเข้าใจในคำศัพท์เฉพาะทางต่าง ๆ ที่เปรียบเสมือนภาษาลับของตลาด
คุณอาจเคยได้ยินคำว่า “Pip”, “สเปรด”, “เลเวอเรจ” หรือ “อินดิเคเตอร์” มาบ้าง แต่รู้หรือไม่ว่าแต่ละคำมีความหมายที่ลึกซึ้งและส่งผลต่อการตัดสินใจเทรดของคุณอย่างไร? ในฐานะที่เราเป็นผู้ที่มุ่งมั่นจะช่วยให้คุณเข้าใจโลกของการลงทุนที่ซับซ้อน เราจะพาคุณเจาะลึกทุกคำศัพท์สำคัญในตลาด Forex ตั้งแต่พื้นฐานไปจนถึงขั้นสูง พร้อมทั้งอธิบายด้วยภาษาง่าย ๆ และยกตัวอย่างประกอบ เพื่อให้คุณสามารถสร้างรากฐานความรู้ที่แข็งแกร่ง และเตรียมพร้อมสำหรับการเทรดอย่างมีประสิทธิภาพในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ
เราเชื่อว่าการเรียนรู้คำศัพท์เหล่านี้ ไม่ใช่แค่การจำนิยาม แต่เป็นการเปิดประตูสู่ความเข้าใจในกลไกของตลาด การบริหารความเสี่ยง และการวางแผนกลยุทธ์การเทรดที่ชาญฉลาด ดังนั้น มาเริ่มต้นการเดินทางสำรวจคำศัพท์ Forex ที่จำเป็นไปพร้อมกันเลย
แกนหลักของตลาด: ทำความรู้จัก Forex, โบรกเกอร์ และแพลตฟอร์มการเทรด
ก่อนที่เราจะดำดิ่งสู่คำศัพท์เฉพาะทาง ลองมาทำความเข้าใจแก่นแท้ของตลาด Forex และองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้การซื้อขายเกิดขึ้นได้
- Forex (ตลาดซื้อขายสกุลเงิน): ย่อมาจาก Foreign Exchange Market เป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่ซึ่งสกุลเงินต่าง ๆ ถูกซื้อและขายพร้อมกัน การเทรด Forex จึงเป็นการเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างสกุลเงิน โดยมีปริมาณการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันสูงกว่าหลายล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้มีสภาพคล่องสูงมาก คุณสามารถเข้าซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมง 5 วันต่อสัปดาห์
- โบรกเกอร์ (Broker): โบรกเกอร์คือบริษัทตัวกลางที่ทำหน้าที่เชื่อมโยงนักเทรดอย่างคุณเข้ากับตลาด Forex และตลาดการเงินอื่น ๆ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ ดัชนี หรือหุ้น พวกเขาให้บริการแพลตฟอร์มการเทรด อำนวยความสะดวกในการส่งคำสั่งซื้อขาย และจัดการบัญชีของคุณ การเลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของหน่วยงานทางการเงิน เช่น Financial Conduct Authority (FCA) หรือ Financial Services Commission (FSC) จึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่งเพื่อความปลอดภัยของเงินทุนของคุณ
- แพลตฟอร์มการเทรด (Trading Platform): คือโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่โบรกเกอร์จัดหาให้ เพื่อให้นักเทรดสามารถเข้าถึงข้อมูลราคา ส่งคำสั่งซื้อขาย วิเคราะห์กราฟ และจัดการบัญชีได้ แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในตลาด Forex คือ MetaTrader 4 (MT4) และ MetaTrader 5 (MT5) ซึ่งมีเครื่องมือและคุณสมบัติที่ครบครันสำหรับนักเทรดทุกระดับ
หากคุณกำลังพิจารณาเริ่มต้นการเดินทางในโลกของการเทรด Forex หรือกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่หลากหลายเพื่อสำรวจผลิตภัณฑ์ CFD อื่น ๆ เราขอแนะนำ มอนเนต้า มาร์เก็ตส์ ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจากออสเตรเลียที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินกว่า 1,000 รายการ ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดมือใหม่หรือมืออาชีพ ก็สามารถค้นหาสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณได้อย่างแน่นอน
การทำความเข้าใจบทบาทของแต่ละองค์ประกอบเหล่านี้เป็นก้าวแรกที่สำคัญ ในการที่คุณจะสามารถนำทางในตลาด Forex ได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพ
ทำความเข้าใจคู่เงิน: จากคู่หลัก (Major) สู่คู่แปลกใหม่ (Exotic)
ในตลาด Forex การซื้อขายจะเกิดขึ้นในรูปของ “คู่เงิน” เสมอ ไม่เหมือนการซื้อหุ้นที่ซื้อขายสินทรัพย์เดี่ยว ๆ การทำความเข้าใจโครงสร้างและประเภทของคู่เงินจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง
- คู่เงิน (Currency Pair): คือการจับคู่สกุลเงินสองสกุลเพื่อซื้อขายกัน ตัวอย่างเช่น EURUSD หมายถึงการซื้อขายเงินยูโร (EUR) เทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) โดยสกุลเงินตัวแรกในคู่ (เช่น EUR ใน EURUSD) เรียกว่า ค่าเงินพื้นฐาน (Base Currency) และสกุลเงินตัวที่สอง (เช่น USD) เรียกว่า ค่าเงินอ้างอิง (Quote Currency) หรือ Counter Currency ราคาที่คุณเห็นบนแพลตฟอร์มคือจำนวนของ Quote Currency ที่ต้องใช้เพื่อซื้อ Base Currency 1 หน่วย
คู่เงินสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ซึ่งมีผลต่อสภาพคล่อง ความผันผวน และความเหมาะสมสำหรับนักเทรดแต่ละประเภท:
- คู่เงิน Major (Major Currency Pairs): คือคู่สกุลเงินหลักที่ประกอบด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐฯ (USD) จับคู่กับสกุลเงินหลักอื่น ๆ ของโลก ตัวอย่างเช่น:
คู่เงิน Major | ชื่อเต็ม |
---|---|
EURUSD | ยูโร/ดอลลาร์สหรัฐฯ |
USDJPY | ดอลลาร์สหรัฐฯ/เยนญี่ปุ่น |
GBPUSD | ปอนด์สเตอร์ลิง/ดอลลาร์สหรัฐฯ |
USDCAD | ดอลลาร์สหรัฐฯ/ดอลลาร์แคนาดา |
USDCHF | ดอลลาร์สหรัฐฯ/ฟรังก์สวิส |
AUDUSD | ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ดอลลาร์สหรัฐฯ |
NZDUSD | ดอลลาร์นิวซีแลนด์/ดอลลาร์สหรัฐฯ |
คู่เงิน Major มีลักษณะเด่นคือมีสภาพคล่องสูงมาก สเปรดต่ำ และมีการเคลื่อนไหวของราคาที่ค่อนข้างคาดเดาได้ ทำให้เหมาะสำหรับนักเทรดมือใหม่และผู้ที่ต้องการความมั่นคงในการเทรด
- EURGBP (ยูโร/ปอนด์สเตอร์ลิง)
- EURJPY (ยูโร/เยนญี่ปุ่น)
- GBPJPY (ปอนด์สเตอร์ลิง/เยนญี่ปุ่น)
- AUDCAD (ดอลลาร์ออสเตรเลีย/ดอลลาร์แคนาดา)
คู่เงิน Minor มีสภาพคล่องน้อยกว่าคู่ Major และมีสเปรดที่สูงกว่าเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นที่นิยมเนื่องจากให้โอกาสในการทำกำไรที่ดี และอาจมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงกว่าในบางช่วง
- USDTHB (ดอลลาร์สหรัฐฯ/บาทไทย)
- USDSGD (ดอลลาร์สหรัฐฯ/ดอลลาร์สิงคโปร์)
- USDBRL (ดอลลาร์สหรัฐฯ/เรียลบราซิล)
คู่เงิน Exotic มีสภาพคล่องต่ำที่สุด มีสเปรดที่กว้างมาก และมีความผันผวนสูง ซึ่งอาจทำให้การเทรดมีความเสี่ยงสูงกว่ามาก นักเทรดมือใหม่จึงควรหลีกเลี่ยงคู่เงินประเภทนี้ จนกว่าจะมีความเข้าใจและประสบการณ์ที่เพียงพอ
การเลือกคู่เงินที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของคุณ เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ
กลไกราคาและต้นทุนการเทรด: Bid, Ask, Pip, สเปรด และ Swap
เมื่อคุณเข้าใจประเภทของคู่เงินแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการทำความเข้าใจว่าราคาในตลาด Forex ทำงานอย่างไร และอะไรคือต้นทุนที่คุณต้องพิจารณาเมื่อทำการเทรด
- ราคาเสนอซื้อ (Bid Price): คือราคาเสนอซื้อที่ดีที่สุดในตลาด หรือพูดง่าย ๆ คือราคาที่คุณสามารถ “ขาย” คู่สกุลเงินนั้น ๆ ได้
- ราคาเสนอขาย (Ask Price): คือราคาเสนอขายที่ดีที่สุดในตลาด หรือราคาที่คุณสามารถ “ซื้อ” คู่สกุลเงินนั้น ๆ ได้
คุณจะสังเกตเห็นว่าราคา Bid มักจะต่ำกว่าราคา Ask เสมอ ความแตกต่างนี้คือสิ่งที่เราเรียกว่า สเปรด (Spread)
- สเปรด (Spread): คือส่วนต่างระหว่างราคา Ask และราคา Bid ซึ่งเป็นต้นทุนหลักของการเทรดในตลาด Forex สำหรับโบรกเกอร์ประเภท Market Maker สเปรดคือรายได้หลักของพวกเขา ในขณะที่โบรกเกอร์ประเภท ECN/STP อาจคิดค่าคอมมิชชั่นแทนหรือเพิ่มสเปรดเล็กน้อย สเปรดสามารถเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสภาพคล่องของคู่เงิน เวลาทำการของตลาด และเหตุการณ์ข่าวสำคัญ คู่เงินที่มีสภาพคล่องสูง เช่น EURUSD มักจะมีสเปรดที่ต่ำกว่า
- Pip (Percentage in Point): คือหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงราคาที่น้อยที่สุดในคู่สกุลเงินส่วนใหญ่ ยกเว้นคู่ที่มีเยนญี่ปุ่น (JPY) เป็นสกุลเงินอ้างอิง สำหรับคู่เงินส่วนใหญ่ Pip จะเท่ากับทศนิยมตำแหน่งที่สี่ (0.0001) เช่น หาก EURUSD เปลี่ยนจาก 1.1234 เป็น 1.1235 นั่นคือการเปลี่ยนแปลง 1 Pip การคำนวณมูลค่า Pip ได้อย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการคำนวณกำไรขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคา
- Swap (Swap Fee หรือ Rollover Interest): คือค่าดอกเบี้ยข้ามคืนที่คุณต้องจ่ายหรือได้รับเมื่อคุณถือออเดอร์เปิดข้ามคืน (หลังจากเวลาปิดตลาดของนิวยอร์ก) ค่า Swap คำนวณจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินในคู่ที่คุณเทรด รวมถึงผลตอบแทนพันธบัตรของประเทศเหล่านั้น หากคุณถือสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า คุณอาจได้รับค่า Swap ในขณะที่หากคุณถือสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า คุณจะต้องจ่ายค่า Swap ค่า Swap อาจเป็นบวกหรือลบก็ได้ และจะถูกหักหรือเพิ่มเข้าในบัญชีของคุณทุกวันทำการ (โดยปกติแล้วในคืนวันพุธ ค่า Swap จะถูกคิดเป็นสามเท่าเพื่อชดเชยวันหยุดสุดสัปดาห์) การทำความเข้าใจค่า Swap มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดระยะยาว หรือผู้ที่ถือสถานะข้ามคืนเป็นประจำ เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการเทรดของคุณ
การทำความเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณประเมินต้นทุนและผลกำไรที่แท้จริงของการเทรดแต่ละครั้งได้อย่างแม่นยำ
พลังของ Leverage และความหมายของ Lot: เพิ่มโอกาสและความเสี่ยง
สองคำศัพท์สำคัญที่คุณจะพบเจอเสมอเมื่อเทรด Forex คือ เลเวอเรจ และ ล็อต ซึ่งเป็นกลไกที่ช่วยให้นักเทรดสามารถควบคุมปริมาณการซื้อขายที่ใหญ่กว่าเงินทุนที่มีอยู่จริง แต่ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่มากขึ้น
- เลเวอเรจ (Leverage): เปรียบเสมือนคันโยกที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมสัญญาการซื้อขายขนาดใหญ่ด้วยเงินลงทุนเพียงเล็กน้อย หรือที่เรียกว่า มาร์จิ้น (Margin) ตัวอย่างเช่น หากโบรกเกอร์เสนอเลเวอเรจ 1:500 หมายความว่าเงิน 1 ดอลลาร์ของคุณ สามารถควบคุมมูลค่าการซื้อขายได้ถึง 500 ดอลลาร์ เลเวอเรจช่วยเพิ่มกำลังซื้อของคุณอย่างมหาศาล ทำให้คุณสามารถทำกำไรจำนวนมากได้แม้จากการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เลเวอเรจเป็นเหมือนดาบสองคม มันสามารถขยายกำไรของคุณได้ แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถขยายการขาดทุนของคุณได้เช่นกัน หากตลาดเคลื่อนไหวสวนทางกับที่คุณคาดการณ์ไว้ การทำความเข้าใจและบริหารจัดการเลเวอเรจอย่างระมัดระวังจึงเป็นสิ่งสำคัญสูงสุดสำหรับนักเทรด
- ล็อต (Lot): คือหน่วยมาตรฐานที่ใช้ในการกำหนดขนาดของสัญญาการซื้อขายในตลาด Forex โดยปกติ 1 ล็อตมาตรฐาน (Standard Lot) เท่ากับ 100,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก (Base Currency) อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีขนาดล็อตที่หลากหลายเพื่อรองรับนักเทรดที่มีเงินทุนแตกต่างกัน:
- Standard Lot (1.00 Lot) = 100,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก
- Mini Lot (0.10 Lot) = 10,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก
- Micro Lot (0.01 Lot) = 1,000 หน่วยของสกุลเงินหลัก
- Nano Lot (0.001 Lot) = 100 หน่วยของสกุลเงินหลัก (ไม่เป็นที่นิยมมากนัก)
ขนาดล็อตที่คุณเลือกส่งผลโดยตรงต่อมูลค่า Pip ของการเทรดของคุณ ตัวอย่างเช่น สำหรับคู่เงิน EURUSD ที่มี Pip เท่ากับ 0.0001 (0.0001 USD ต่อ EUR 1 หน่วย):
- 1 Standard Lot (100,000 หน่วย) การเคลื่อนไหว 1 Pip มีมูลค่าประมาณ 10 USD
- 1 Mini Lot (10,000 หน่วย) การเคลื่อนไหว 1 Pip มีมูลค่าประมาณ 1 USD
- 1 Micro Lot (1,000 หน่วย) การเคลื่อนไหว 1 Pip มีมูลค่าประมาณ 0.10 USD
การเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเลเวอเรจ ล็อต และมูลค่า Pip จะช่วยให้คุณสามารถคำนวณความเสี่ยงและผลตอบแทนที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างแม่นยำ ก่อนที่คุณจะตัดสินใจเปิดสถานะการเทรดใด ๆ
ในการเลือกแพลตฟอร์มการเทรดที่รองรับความยืดหยุ่นในการใช้เลเวอเรจและขนาดล็อตที่แตกต่างกันไปตามความต้องการของคุณ มอนเนต้า มาร์เก็ตส์ นำเสนอความโดดเด่นด้วยความยืดหยุ่นทางเทคนิคที่น่าสนใจ พวกเขารองรับแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง MT4, MT5 และ Pro Trader ซึ่งทำงานร่วมกับการดำเนินการคำสั่งที่รวดเร็วและสเปรดที่แข่งขันได้ ช่วยให้คุณได้รับประสบการณ์การเทรดที่ราบรื่นและมีประสิทธิภาพ
เครื่องมือคู่ใจนักเทรด: กราฟแท่งเทียนและสารพัดอินดิเคเตอร์
การวิเคราะห์ตลาดเป็นหัวใจสำคัญของการเทรด Forex และเครื่องมือที่นักเทรดนิยมใช้มากที่สุดคือ กราฟราคา และ อินดิเคเตอร์ ซึ่งอยู่ในหมวดหมู่ของการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart): เป็นรูปแบบการแสดงข้อมูลราคาที่นิยมใช้มากที่สุดในหมู่นักเทรดทั่วโลก แท่งเทียนแต่ละแท่งจะแสดงข้อมูลราคา 4 จุดสำคัญในช่วงเวลาที่กำหนด (เช่น 1 นาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน):
- ราคาเปิด (Open): ราคาแรกที่ซื้อขายในช่วงเวลานั้น
- ราคาสูงสุด (High): ราคาสูงสุดที่ทำได้ในช่วงเวลานั้น
- ราคาต่ำสุด (Low): ราคาต่ำสุดที่ทำได้ในช่วงเวลานั้น
- ราคาปิด (Close): ราคาสุดท้ายที่ซื้อขายในช่วงเวลานั้น
สีของแท่งเทียนมักจะบ่งบอกถึงทิศทางของราคา: แท่งเทียนสีเขียวหรือขาว (Bullish Candlestick) หมายถึงราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด แสดงถึงแรงซื้อที่เข้ามา ในขณะที่แท่งเทียนสีแดงหรือดำ (Bearish Candlestick) หมายถึงราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด แสดงถึงแรงขายที่เข้ามา การสังเกตรูปแบบแท่งเทียน (เช่น Doji, Hammer, Engulfing Pattern) สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแนวโน้มและอารมณ์ของตลาด
- อินดิเคเตอร์ (Indicator): คือเครื่องมือทางคณิตศาสตร์ที่สร้างขึ้นจากข้อมูลราคาในอดีตและปริมาณการซื้อขาย เพื่อช่วยให้นักเทรดสามารถวิเคราะห์แนวโน้ม โมเมนตัม ความผันผวน หรือให้สัญญาณซื้อ/ขาย อินดิเคเตอร์มีหลายประเภท แต่ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย ได้แก่:
ชื่ออินดิเคเตอร์ | การใช้งาน |
---|---|
MACD | ใช้วัดความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น |
RSI | ใช้วัดความแข็งแกร่งของการเปลี่ยนแปลงราคา |
Stochastic Oscillator | ใช้บ่งบอกสภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป |
EMA | ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้ำหนัก |
Bollinger Bands | ใช้ในการระบุสภาวะ Overbought/Oversold |
Ichimoku Cloud | ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้มและโมเมนตัมของตลาด |
Pivot Points | ใช้วิเคราะห์ระดับแนวรับและแนวต้าน |
การเรียนรู้และฝึกฝนการใช้งานอินดิเคเตอร์เหล่านี้ร่วมกับกราฟแท่งเทียน จะช่วยให้คุณสามารถทำการวิเคราะห์ทางเทคนิคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจเทรด
การบริหารความเสี่ยงด้วย Stop Loss และ Take Profit: เกราะป้องกันเงินทุนของคุณ
ในโลกของการเทรดที่ผันผวน การทำกำไรเป็นเป้าหมายสูงสุด แต่การรักษาเงินทุนไม่ให้สูญหายไปทั้งหมดเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า นั่นคือเหตุผลที่เราต้องรู้จักและใช้งานคำสั่ง Stop Loss และ Take Profit อย่างเคร่งครัด
- Stop Loss (SL) หรือ จุดตัดขาดทุน: คือคำสั่งที่คุณตั้งค่าไว้ล่วงหน้าเพื่อปิดสถานะการเทรดโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนที่ถึงจุดที่คุณกำหนดไว้ การตั้งค่า Stop Loss เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการจำกัดความเสี่ยงของการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น คุณจะต้องกำหนดจุด Stop Loss ที่เหมาะสมกับแผนการเทรดและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้เสมอ ไม่ว่าคุณจะมั่นใจในทิศทางของตลาดเพียงใด การไม่ตั้ง Stop Loss ก็เหมือนกับการขับรถโดยไม่มีเบรก ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียเงินทุนจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วในกรณีที่ตลาดพลิกผันอย่างรุนแรง
- Take Profit (TP) หรือ จุดทำกำไร: คือคำสั่งที่คุณตั้งค่าไว้ล่วงหน้าเพื่อปิดสถานะการเทรดโดยอัตโนมัติเมื่อราคาเคลื่อนที่ถึงจุดที่คุณต้องการทำกำไร การตั้งค่า Take Profit ช่วยให้คุณสามารถล็อกกำไรได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ และป้องกันไม่ให้กำไรที่คุณมีอยู่แล้วลดลงหรือกลายเป็นขาดทุนในภายหลัง การกำหนดจุด Take Profit ควรพิจารณาจากเป้าหมายกำไรที่สมเหตุสมผลตามการวิเคราะห์ทางเทคนิคและอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่วางแผนไว้
การใช้ Stop Loss และ Take Profit ร่วมกันเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management) ที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยให้คุณสามารถกำหนดขีดจำกัดของการขาดทุนและเป้าหมายของกำไรได้อย่างชัดเจน ทำให้การเทรดของคุณมีระเบียบวินัยมากขึ้น และลดอารมณ์ความรู้สึกที่อาจส่งผลเสียต่อการตัดสินใจ คุณควรฝึกฝนการกำหนดจุดเหล่านี้อย่างรอบคอบในบัญชีทดลอง (Demo Account) ก่อนที่จะนำไปใช้กับการเทรดด้วยเงินจริงเสมอ
นอกจากการตั้งค่า SL/TP แล้ว นักเทรดยังควรรู้จักคำสั่งอื่น ๆ ในการส่งคำสั่ง:
- Limit Order: คำสั่งซื้อขายที่กำหนดราคาซื้อสูงสุดหรือราคาขายต่ำสุดที่ต้องการ เพื่อให้คำสั่งถูกดำเนินการเมื่อราคาถึงระดับนั้นเท่านั้น เหมาะสำหรับการวางแผนเข้าหรือออกตลาดที่จุดราคาเฉพาะเจาะจง
- Market Order: คำสั่งซื้อขายทันทีที่ราคาตลาดปัจจุบัน เป็นคำสั่งที่ดำเนินการได้รวดเร็วที่สุด แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิด Slippage (ราคาที่ได้จริงต่างจากราคาที่คาดหวัง) โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง
การเรียนรู้ที่จะใช้เครื่องมือเหล่านี้อย่างเชี่ยวชาญจะช่วยให้คุณควบคุมการเทรดของตนเองได้ดียิ่งขึ้น
อ่านใจตลาด: ทำความเข้าใจภาวะตลาดกระทิงและหมี
ในตลาดการเงิน คุณมักจะได้ยินคำว่า “ตลาดกระทิง” และ “ตลาดหมี” ซึ่งเป็นคำเปรียบเปรยที่ใช้อธิบายสภาวะและทิศทางของตลาดโดยรวม การทำความเข้าใจความหมายของสองคำนี้จะช่วยให้คุณอ่านใจตลาดและปรับกลยุทธ์การเทรดได้อย่างเหมาะสม
- ตลาดกระทิง (Bull Market): หมายถึงสภาวะที่ราคาในตลาดโดยรวมมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับ “กระทิง” ที่ใช้งอนเงยขึ้น นักเทรดที่มีมุมมองในเชิงบวกต่อตลาดและคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวสูงขึ้นเรียกว่า “นักเทรดกระทิง” หรือ “Bulls” ในตลาดกระทิง นักเทรดมักจะมองหาโอกาสในการเปิดสถานะ “ซื้อ” (Long Position) เพื่อทำกำไรจากการที่ราคาปรับตัวขึ้น
- ตลาดหมี (Bear Market): หมายถึงสภาวะที่ราคาในตลาดโดยรวมมีแนวโน้มปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับ “หมี” ที่ใช้เล็บตะปบลง นักเทรดที่มีมุมมองในเชิงลบต่อตลาดและคาดการณ์ว่าราคาจะปรับตัวลดลงเรียกว่า “นักเทรดหมี” หรือ “Bears” ในตลาดหมี นักเทรดมักจะมองหาโอกาสในการเปิดสถานะ “ขาย” (Short Position) เพื่อทำกำไรจากการที่ราคาปรับตัวลง
สภาวะตลาดเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นถาวร แต่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดไม่ว่าจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง จะช่วยให้คุณปรับกลยุทธ์การเทรดให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบัน การใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น การสังเกตแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) หรือการใช้เครื่องมือบ่งชี้แนวโน้ม จะช่วยให้คุณสามารถระบุสภาวะตลาดกระทิงหรือหมีได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีคำศัพท์อื่น ๆ ที่บ่งบอกถึงพฤติกรรมราคาที่สำคัญ:
- แนวรับ (Support): ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งหรือทำให้ราคาปรับตัวสูงขึ้น มักจะเป็นจุดที่ราคาเคยกลับตัวขึ้นไปในอดีต
- แนวต้าน (Resistance): ระดับราคาที่คาดว่าจะมีแรงขายเข้ามามากพอที่จะหยุดยั้งหรือทำให้ราคาปรับตัวลดลง มักจะเป็นจุดที่ราคาเคยกลับตัวลงมาในอดีต
- Breakout: สภาวะที่ราคาเคลื่อนที่ทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ แสดงถึงการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มอย่างมีนัยสำคัญ
- Channel: รูปแบบราคาที่เคลื่อนที่อยู่ภายในกรอบที่จำกัดระหว่างเส้นแนวโน้มสองเส้น ซึ่งอาจเป็นขาขึ้น ขาลง หรือด้านข้าง (Sideways)
- Gap: ช่องว่างที่เกิดขึ้นบนกราฟราคา เมื่อราคาเปิดของแท่งเทียนถัดไปสูงกว่าราคาปิดของแท่งเทียนก่อนหน้ามาก (Gap Up) หรือต่ำกว่ามาก (Gap Down) มักเกิดจากข่าวสำคัญหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกเวลาทำการของตลาด
การทำความเข้าใจพฤติกรรมของราคาเหล่านี้ จะช่วยให้คุณตีความสถานการณ์ตลาดได้อย่างลึกซึ้ง และวางแผนการเข้าและออกจากการเทรดได้อย่างเหมาะสม
คำศัพท์สำคัญอื่นๆ ที่นักเทรดควรรู้: Margin, Slippage, Volatility และ CFD
เพื่อให้การเดินทางในโลก Forex ของคุณสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ยังมีคำศัพท์อีกหลายคำที่คุณควรรู้ เพื่อให้เข้าใจถึงกลไกการทำงานของบัญชีเทรด ความเสี่ยง และประเภทของสินทรัพย์ที่คุณกำลังเทรด
- มาร์จิ้น (Margin): คือเงินประกันที่คุณต้องวางไว้ในบัญชีของคุณ เพื่อที่จะเปิดและรักษาสถานะการเทรดที่มีเลเวอเรจ มาร์จิ้นไม่ใช่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นส่วนหนึ่งของเงินทุนในบัญชีของคุณที่ถูกกันไว้เพื่อรองรับการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น หากมูลค่าบัญชีของคุณลดลงจนต่ำกว่าระดับมาร์จิ้นที่กำหนด คุณอาจเผชิญกับสถานการณ์ Margin Call
- Margin Call: คือการแจ้งเตือนจากโบรกเกอร์ว่าระดับมาร์จิ้นในบัญชีของคุณกำลังลดลงจนอยู่ในระดับวิกฤต และคุณจำเป็นต้องเติมเงินเพิ่มเข้าสู่บัญชีเพื่อรักษาสถานะที่เปิดอยู่ หากคุณไม่เติมเงิน สถานะการเทรดของคุณอาจถูกปิดโดยอัตโนมัติ (Stop Out) เพื่อป้องกันไม่ให้คุณขาดทุนเกินกว่าเงินที่มีอยู่ในบัญชี
- Slippage (สลิปเพจ): คือความแตกต่างระหว่างราคาที่คุณคาดว่าจะเข้าหรือออกจากการเทรด กับราคาจริงที่คำสั่งของคุณถูกดำเนินการ มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง หรือเมื่อมีข่าวเศรษฐกิจสำคัญประกาศออกมา Slippage อาจเป็นผลดี (ราคาดีกว่าที่คาด) หรือผลเสีย (ราคาแย่กว่าที่คาด) ก็ได้ เป็นความเสี่ยงที่นักเทรดควรรับทราบและเตรียมพร้อมรับมือ
- Volatility (ความผันผวน): หมายถึงระดับการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาหนึ่ง ตลาดที่มีความผันผวนสูงหมายถึงราคาเคลื่อนที่ขึ้นลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นโอกาสในการทำกำไรสำหรับนักเทรดระยะสั้น แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเช่นกัน ในทางกลับกัน ตลาดที่มีความผันผวนต่ำ ราคาจะเคลื่อนที่ช้าและไม่รุนแรงมากนัก
- Liquidity (สภาพคล่อง): คือความง่ายในการซื้อหรือขายสินทรัพย์โดยไม่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลงมากนัก คู่เงิน Major เช่น EURUSD มีสภาพคล่องสูงมาก หมายความว่าคุณสามารถเปิดและปิดสถานะการเทรดขนาดใหญ่ได้ง่าย โดยไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อราคา ในขณะที่คู่เงิน Exotic มีสภาพคล่องต่ำกว่า
- CFD (Contract for Difference): คือสัญญาทางการเงินที่มูลค่าของมันขึ้นอยู่กับราคาสินทรัพย์อ้างอิง เช่น หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ หรือคู่สกุลเงิน เมื่อคุณเทรด CFD คุณไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง ๆ แต่คุณกำลังเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาเท่านั้น CFD ช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรได้ทั้งจากตลาดขาขึ้น (Long Position) และตลาดขาลง (Short Position) โดยใช้เลเวอเรจ และเป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมอย่างมากสำหรับการเข้าถึงตลาดการเงินที่หลากหลาย
การเข้าใจคำศัพท์เหล่านี้จะช่วยให้คุณบริหารจัดการบัญชีเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และตัดสินใจเทรดได้อย่างรอบคอบยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันในตลาด
สำหรับนักเทรดที่กำลังมองหาโบรกเกอร์ที่มีการกำกับดูแลที่แข็งแกร่งและบริการที่ครบวงจร มอนเนต้า มาร์เก็ตส์ ได้รับการรับรองจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง เช่น FSCA, ASIC, FSA ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจในด้านความปลอดภัยของเงินทุน พวกเขายังให้บริการฝากเงินในบัญชีที่แยกต่างกัน (Segregated Accounts), VPS ฟรีสำหรับผู้ที่ต้องการเทรดด้วย Expert Advisor และการสนับสนุนลูกค้าเป็นภาษาไทยตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้นักเทรดจำนวนมากเลือกใช้บริการ
สรุปและก้าวต่อไปในโลก Forex: สร้างรากฐานที่แข็งแกร่งด้วยความรู้
การเดินทางสู่การเป็นนักเทรด Forex ที่ประสบความสำเร็จนั้น เริ่มต้นจากการสร้างรากฐานความรู้ที่แข็งแกร่ง การทำความเข้าใจคำศัพท์เฉพาะทางที่เราได้นำเสนอไปในบทความนี้ ไม่ว่าจะเป็น Pip, สเปรด, เลเวอเรจ, Lot, Stop Loss, Take Profit หรือการทำความเข้าใจสภาวะ ตลาดกระทิง และ ตลาดหมี ล้วนเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งยวด
คำศัพท์เหล่านี้ไม่ใช่แค่ตัวอักษร แต่คือเครื่องมือในการสื่อสาร ทำความเข้าใจกลไกราคา และวางแผนการเทรดของคุณ เมื่อคุณเข้าใจความหมายและนัยยะของแต่ละคำ คุณจะสามารถวิเคราะห์ตลาดได้อย่างลึกซึ้งขึ้น ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากขึ้น และบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เปรียบเสมือนคุณกำลังเรียนรู้ภาษาใหม่ เพื่อสื่อสารกับตลาดได้อย่างคล่องแคล่ว
เราในฐานะผู้ที่มุ่งมั่นให้ความรู้แก่คุณ เชื่อว่าความรู้คือพลังที่แท้จริงในโลกของการลงทุน และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ตลาด Forex มีพลวัตและเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด การศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การเทรด การวิเคราะห์ทางเทคนิค ขั้นสูง การประยุกต์ใช้ อินดิเคเตอร์ ต่าง ๆ หรือแม้แต่ การวิเคราะห์พื้นฐาน จากปฏิทินเศรษฐกิจ (Economic Calendar) ล้วนเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยพัฒนาทักษะของคุณ
สิ่งที่เราอยากจะเน้นย้ำอีกครั้งคือ การซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินทุกชนิดมีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเทรด Forex ซึ่งเกี่ยวข้องกับการใช้เลเวอเรจ ดังนั้น คุณควรทำความเข้าใจความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ก่อนตัดสินใจลงทุนเสมอ เริ่มต้นด้วยการฝึกฝนใน บัญชีเดโม่ (Demo Account) เพื่อทำความคุ้นเคยกับแพลตฟอร์มและกลยุทธ์การเทรดโดยไม่มีความเสี่ยงทางการเงิน เมื่อคุณมั่นใจและมีวินัยเพียงพอ จึงค่อยเริ่มเทรดด้วยเงินจริง
ขอให้คุณโชคดีในการเดินทางในโลก Forex และจงจำไว้เสมอว่า การลงทุนในความรู้ คือการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่สุดในระยะยาว
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับศัพท์ forex
Q:เรื่องตลาด Forex คืออะไร?
A:ตลาด Forex คือ ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ซึ่งเป็นตลาดการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยมีการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมงจากทุกมุมโลก。
Q:เลเวอเรจคืออะไร?
A:เลเวอเรจคือกลไกการเงินที่ช่วยให้คุณสามารถควบคุมการซื้อขายขนาดใหญ่ด้วยเงินลงทุนเพียงเล็กน้อย ตัวอย่างเช่น เลเวอเรจ 1:100 หมายความว่า 1 ดอลลาร์สามารถควบคุมการซื้อขายได้ถึง 100 ดอลลาร์。
Q:คำว่า Pip คืออะไร?
A:Pip คือหน่วยวัดการเปลี่ยนแปลงราคาที่เล็กที่สุดในคู่เงิน มักใช้เพื่อวัดกำไรหรือขาดทุนในตลาด Forex。