CFD ย่อมาจากอะไร? ไขความหมายที่ซ่อนอยู่
หลายคนพอได้ยินคำว่า “CFD” แล้วอาจจะนึกถึงความหมายที่ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับบริบทที่ใช้ เพราะคำนี้ปรากฏในสองสาขาหลักๆ คือ การเงินกับการลงทุน และอีกด้านคือ วิทยาศาสตร์กับวิศวกรรม

โดยทั่วไป CFD สามารถย่อมาจากสองอย่างหลักๆ ดังนี้
- Contract for Difference (สัญญาซื้อขายส่วนต่าง): นี่คือความหมายที่ได้รับความนิยมสูงสุดในวงการการเงิน เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์และทำกำไรจากความเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์โดยไม่ต้องถือครองสินทรัพย์จริง
- Computational Fluid Dynamics (พลศาสตร์ของไหลเชิงคำนวณ): ในแวดวงวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม คำนี้หมายถึงการใช้คอมพิวเตอร์จำลองการไหลของของไหล เช่น ของเหลวหรือก๊าซ และศึกษาปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง
เนื้อหาในบทความนี้จะเจาะลึกไปที่ CFD ในด้านการเงินก่อน เพื่อให้ประโยชน์กับนักลงทุนและผู้สนใจ แต่ก็จะกล่าวถึงด้าน Computational Fluid Dynamics ด้วย เพื่อครอบคลุมคนที่ค้นหาความหมายในมุมอื่น
Contract for Difference (CFD) คืออะไร? สัญญาซื้อขายส่วนต่างที่นักลงทุนควรรู้จัก
Contract for Difference หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า CFD คือข้อตกลงระหว่างนักลงทุนกับโบรกเกอร์ เพื่อแลกเปลี่ยนส่วนต่างของราคาสินทรัพย์ที่อ้างอิงกัน ระหว่างตอนเปิดสัญญากับตอนปิด นักลงทุนมีโอกาสทำกำไรทั้งเมื่อราคาขึ้นหรือลง โดยไม่ต้องถือสินทรัพย์จริง

พื้นฐานของ CFD อยู่ที่การเก็งกำไรจากความผันผวนของราคา ถ้านักลงทุนมองว่าราคาจะขึ้น ก็เปิดสถานะซื้อหรือ Long ถ้าถูกต้องตอนปิดก็ได้กำไร แต่ถ้ามองว่าราคาจะลง ก็เปิดสถานะขายหรือ Short แล้วก็ทำกำไรได้เช่นกันถ้าคาดการณ์ถูก
CFD จัดเป็นผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ที่เปิดประตูสู่ตลาดการเงินหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ คู่สกุลเงินอย่าง Forex หรือแม้กระทั่งคริปโตเคอร์เรนซี จุดเด่นคือการนำเลเวอเรจมาใช้ ซึ่งช่วยขยายทั้งกำไรและขาดทุนให้ใหญ่ขึ้น
CFD ทำงานอย่างไร? กลไกสำคัญที่สร้างโอกาสและบริหารความเสี่ยง
นักลงทุนที่อยากใช้ CFD ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต้องเข้าใจวิธีการทำงานของมันให้ชัดเจน กลไกหลักที่ทำให้ CFD น่าดึงดูดแต่ก็เสี่ยงไปพร้อมกัน คือ การเทรดด้วยเลเวอเรจและระบบมาร์จิ้น

การเทรดแบบมีเลเวอเรจ (Leverage)
เลเวอเรจช่วยให้นักลงทุนควบคุมการเทรดที่มีมูลค่าสูงกว่าทุนที่ลงไปจริง เช่น ถ้าโบรกเกอร์ให้เลเวอเรจ 1:100 แปลว่าด้วยทุน 1 ส่วน สามารถเปิดสถานะมูลค่า 100 ส่วนได้ แต่ถ้าตลาดไปในทางตรงข้าม ขาดทุนก็จะถูกขยายตามสัดส่วนนั้นเช่นกัน เลเวอเรจจึงเหมือนดาบสองคมที่ทั้งเพิ่มโอกาสรวยเร็วและเสี่ยงล้มละลายเร็ว
มาร์จิ้น (Margin) และการรักษาสถานะ
ในการเปิดและถือสถานะ CFD นักลงทุนต้องมีเงินทุนส่วนหนึ่งที่เรียกว่ามาร์จิ้น ซึ่งแบ่งเป็นสองแบบหลัก
- Initial Margin (มาร์จิ้นเริ่มต้น): เงินขั้นต่ำที่ต้องมีในบัญชีเพื่อเริ่มเทรด CFD
- Maintenance Margin (มาร์จิ้นรักษาสภาพ): ระดับเงินขั้นต่ำที่ต้องคงไว้ ถ้าบัญชีตกลงต่ำกว่านี้ จะได้รับ Margin Call ซึ่งคือคำเตือนให้เติมเงิน มิฉะนั้นสถานะอาจถูกปิดอัตโนมัติเพื่อป้องกันขาดทุนเกินตัว
การดูแลมาร์จิ้นให้ดีจึงเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมความเสี่ยง ไม่ให้บัญชีถูกปิดโดยไม่คาดคิด
สินทรัพย์อ้างอิงที่สามารถเทรด CFD ได้
CFD มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงสินทรัพย์จากตลาดทั่วโลกได้ง่าย สินค้าที่นิยมเทรด CFD รวมถึง
- หุ้น (Stocks): เช่น หุ้นบริษัทใหญ่จากตลาดหลักทรัพย์ชั้นนำ
- ดัชนี (Indices): เช่น S&P 500, Dow Jones, FTSE 100, SET50
- สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities): เช่น ทองคำ, น้ำมันดิบ, เงิน, กาแฟ, น้ำตาล
- คู่สกุลเงิน (Forex): เช่น EUR/USD, GBP/JPY, USD/THB
- คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrencies): เช่น Bitcoin, Ethereum, Ripple
ความหลากหลายนี้เปิดโอกาสให้กระจายความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์การเทรดให้เหมาะสมกับสถานการณ์
ข้อดีและข้อเสียของการเทรด CFD: โอกาสและความท้าทาย
การเทรด CFD นำมาซึ่งทั้งโอกาสและอุปสรรค นักลงทุนควรชั่งน้ำหนักทั้งสองฝั่งก่อนตัดสินใจลงทุน
ข้อดีของการเทรด CFD
- การเข้าถึงตลาดที่หลากหลาย: สามารถเทรดสินทรัพย์จากทั่วโลก เช่น หุ้น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ Forex และคริปโต ได้ในแพลตฟอร์มเดียว
- ทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง (Short Selling): เปิดสถานะซื้อเมื่อราคาขึ้น หรือขายเมื่อราคาลง ซึ่งต่างจากหุ้นทั่วไปที่มักได้กำไรเฉพาะตอนขึ้น
- การใช้เลเวอเรจ: ช่วยขยายผลตอบแทนจากทุนน้อย ทำให้มีโอกาสกำไรสูงจากเงินลงทุนจำกัด
- สภาพคล่องสูง: ตลาด CFD มักเคลื่อนไหวเร็ว เปิด-ปิดสถานะได้สะดวก
- ต้นทุนต่ำกว่าการซื้อสินทรัพย์โดยตรง: ค่าใช้จ่ายอย่างสเปรดมักถูกกว่าการถือสินทรัพย์จริงที่อาจมีค่าธรรมเนียมอื่นๆ
ข้อเสียและความเสี่ยงของการเทรด CFD
- ความเสี่ยงจากเลเวอเรจสูง: เลเวอเรจเพิ่มกำไรแต่ก็ทำให้ขาดทุนหนักและเร็ว ถ้าตลาดสวนทาง ทุนทั้งหมดอาจหายวับได้
- ความเสี่ยงจากตลาดผันผวน: ราคาที่แกว่งตัวแรงอาจนำไปสู่ Margin Call หรือปิดสถานะอัตโนมัติ
- ค่าใช้จ่ายในการถือครอง (Overnight Funding Cost): ถ้าถือสถานะข้ามคืน จะมีค่าธรรมเนียม Swap หรือ Overnight Funding จากการกู้ยืมเพื่อรักษาสถานะ
- ความซับซ้อนที่สูงกว่าการลงทุนทั่วไป: เป็นเครื่องมือที่ซับซ้อน ผู้ใหม่ต้องใช้เวลาศึกษาก่อนลงสนามจริง
- ความเสี่ยงจากผู้ให้บริการ (Counterparty Risk): เนื่องจากทำสัญญากับโบรกเกอร์โดยตรง ความน่าเชื่อถือของโบรกเกอร์จึงสำคัญมาก
CFD กับ Forex, หุ้น และ Future ต่างกันอย่างไร?
เพื่อให้เข้าใจ CFD ชัดเจนยิ่งขึ้น การนำมาเปรียบเทียบกับเครื่องมือการเงินอื่นๆ จะช่วยเห็นความแตกต่างและจุดแข็งของแต่ละตัว
| คุณสมบัติ | CFD (Contract for Difference) | Forex (Foreign Exchange) | หุ้น (Stocks) | Future (สัญญาซื้อขายล่วงหน้า) |
|---|---|---|---|---|
| สินทรัพย์อ้างอิง | หลากหลาย (หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์, Forex, คริปโต) | คู่สกุลเงิน | หุ้นของบริษัทจดทะเบียน | สินค้าโภคภัณฑ์, ดัชนี, หุ้น, สกุลเงิน |
| การเป็นเจ้าของสินทรัพย์ | ไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง | ไม่ได้เป็นเจ้าของสกุลเงินจริง | เป็นเจ้าของหุ้นจริง | ไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง |
| การทำกำไร | ได้ทั้งขาขึ้นและขาลง | ได้ทั้งขาขึ้นและขาลง | ส่วนใหญ่ขาขึ้น (ยกเว้น Short Sell หุ้น) | ได้ทั้งขาขึ้นและขาลง |
| เลเวอเรจ | สูง | สูงมาก | ต่ำ (หรือไม่มี) | สูง |
| วันหมดอายุ | ไม่มีวันหมดอายุ (ยกเว้นบางประเภท) | ไม่มีวันหมดอายุ | ไม่มีวันหมดอายุ | มีวันหมดอายุที่กำหนด |
| การส่งมอบจริง | ไม่มีการส่งมอบจริง | ไม่มีการส่งมอบจริง | มีการส่งมอบหุ้นจริง | ไม่มีการส่งมอบจริง (ส่วนใหญ่) หรือมีได้ |
| ตลาด | ตลาด OTC (Over-The-Counter) | ตลาด OTC (ระหว่างธนาคาร) | ตลาดหลักทรัพย์ | ตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (เช่น TFEX) |
CFD vs Forex
CFD สามารถนำมาเทรดคู่สกุลเงินได้เหมือน Forex ดังนั้น CFD Forex ก็คือการเทรดเงินผ่านสัญญา CFD ทั้งสองอย่างคล้ายกันตรงที่เก็งกำไรจากราคาโดยไม่ถือสินทรัพย์จริงและใช้เลเวอเรจสูง แต่ Forex เน้นเฉพาะคู่เงิน ในขณะที่ CFD ครอบคลุมสินค้าอื่นๆ มากกว่า
CFD vs หุ้น
จุดต่างหลักคือเรื่องการเป็นเจ้าของ ถ้าซื้อหุ้นจริง จะได้สิทธิ์ในบริษัท เช่น โหวตหรือรับปันผล แต่ CFD หุ้นแค่เก็งจากราคาโดยไม่ถือหุ้น CFD จึงยืดหยุ่นกว่าในเรื่อง Short Selling และเลเวอเรจ
CFD vs Future
ทั้ง CFD และ Future เป็นอนุพันธ์ที่เก็งกำไรจากราคาโดยไม่ถือสินทรัพย์จริง แต่ Future เป็นสัญญามาตรฐานที่มีวันหมดอายุชัดเจนและเทรดในตลาดควบคุมเข้มงวด ส่วน CFD ปรับแต่งได้มากกว่า ไม่มีวันหมดอายุส่วนใหญ่ และเทรดแบบ OTC กับโบรกเกอร์
CFD เสียภาษีไหม? ประเด็นภาษีที่นักลงทุนควรรู้
เรื่องภาษีเป็นสิ่งที่นักลงทุนไทยต้องใส่ใจ เพราะกำไรจากการลงทุนอาจเข้าข่ายรายได้ที่ต้องเสียภาษีตามกฎกรมสรรพากร โดยปกติ กำไรจากเครื่องมือการเงินต่างๆ ถือเป็นเงินได้พึงประเมิน
สำหรับ CFD ที่เทรดกับโบรกเกอร์ต่างประเทศ ถ้ากำไรถูกนำกลับไทยในปีเดียวกัน อาจจัดเป็นเงินได้ประเภท 40(8) และนำมารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
อัตราภาษีจะเป็นแบบก้าวหน้า 0% ถึง 35% ขึ้นกับฐานรายได้
คำแนะนำเบื้องต้น:
- บันทึกการเทรดและกำไรขาดทุนให้ละเอียด
- ถ้ากำไรเยอะหรือไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญภาษีหรือบัญชี เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมาย ข้อมูลเพิ่มเติมจากเว็บกรมสรรพากร
การรู้เรื่องภาษีช่วยวางแผนการเงินได้ดีและหลีกเลี่ยงปัญหาในภายหลัง
Computational Fluid Dynamics (CFD) คืออะไร? อีกหนึ่งความหมายของ CFD
นอกจากด้านการเงิน CFD ยังมีความหมายสำคัญในวิทยาศาสตร์และวิศวกรรม คือ Computational Fluid Dynamics หรือพลศาสตร์ของไหลเชิงคำนวณ
สาขานี้ใช้เทคนิคตัวเลขและอัลกอริทึมบนคอมพิวเตอร์ เพื่อจำลองการไหลของของไหลและปรากฏการณ์ที่เกี่ยวข้อง เช่น การเคลื่อนที่ของอากาศ น้ำ หรือก๊าซ แทนการสร้างโมเดลจริงหรือทดลอง
พื้นฐานคือการแบ่งพื้นที่ไหลเป็นชิ้นเล็กๆ หรือ mesh แล้วแก้สมการคณิตศาสตร์ที่อธิบายการไหล เช่น สมการ Navier-Stokes ในแต่ละส่วนด้วยคอมพิวเตอร์ ช่วยทำนายความเร็ว ความดัน อุณหภูมิ และอื่นๆ ได้แม่นยำ
การประยุกต์ใช้ CFD ในอุตสาหกรรมต่างๆ:
- การออกแบบอากาศยานและยานยนต์: วิเคราะห์แรงยก แรงต้าน และ aerodynamics ของเครื่องบิน รถยนต์ หรือรถแข่ง
- การพยากรณ์อากาศและการศึกษาภูมิอากาศ: จำลองการไหลอากาศและสภาพอากาศ
- วิศวกรรมเคมี: ออกแบบเครื่องปฏิกรณ์และกระบวนการไหลสาร
- วิศวกรรมโยธาและสิ่งแวดล้อม: ศึกษาการไหลน้ำในแม่น้ำหรือการกระจายมลพิษ
- การแพทย์: วิเคราะห์เลือดไหลในหลอดเลือดหรือออกแบบอุปกรณ์อย่างลิ้นหัวใจ
- การออกแบบอาคาร: ศึกษาการไหลอากาศในอาคารเพื่อปรับปรุงการระบายอากาศ
CDF Simulation ช่วยวิศวกรวิเคราะห์และออกแบบระบบไหลของไหลได้มีประสิทธิภาพ ลดค่าใช้จ่ายและเวลาพัฒนา ข้อมูลเพิ่มเติมจากหน่วยงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
วิธีเริ่มต้นเทรด CFD อย่างปลอดภัย
ถ้าคุณอยากลองเทรด CFD ต้องเตรียมตัวให้ดีเพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสสำเร็จ
- การเลือกโบรกเกอร์ CFD ที่น่าเชื่อถือและได้รับอนุญาต: มองหาโบรกเกอร์ที่มีใบอนุญาตจากหน่วยงานอย่าง FCA, CySEC, ASIC ชื่อเสียงดี แพลตฟอร์มใช้งานง่าย และมีบริการลูกค้าดี
- การทำความเข้าใจความเสี่ยงและการบริหารเงินทุน: CFD เสี่ยงสูง โดยเฉพาะเลเวอเรจ กำหนดทุนที่ยอมเสียได้ และใช้เครื่องมืออย่าง Stop Loss กับ Take Profit
- การทดลองด้วยบัญชีทดลอง (Demo Account): ฝึกในบัญชีเดโมก่อนใช้เงินจริง เพื่อคุ้นเคยแพลตฟอร์ม ทดสอบกลยุทธ์โดยไม่เสียเงิน
- การศึกษาหาความรู้อย่างต่อเนื่อง: ตลาดเปลี่ยนแปลงตลอด ต้องติดตามข่าว บทวิเคราะห์ และเรียนรู้กลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อพัฒนาตัวเอง
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
1. เทรดทอง CFD คืออะไร และมีข้อดีข้อเสียอย่างไร?
เทรดทอง CFD คือการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาทองคำผ่านสัญญา CFD โดยไม่ต้องเป็นเจ้าของทองคำจริง
ข้อดี: สามารถทำกำไรได้ทั้งตลาดขาขึ้นและขาลง, ใช้เลเวอเรจได้, เข้าถึงตลาดทองคำได้ง่าย
ข้อเสีย: ความเสี่ยงจากเลเวอเรจสูง, มีค่าใช้จ่ายในการถือสถานะข้ามคืน, ราคาผันผวนสูง
2. การซื้อขาย CFD แตกต่างจากการซื้อขายหุ้นโดยตรงอย่างไร?
การซื้อขาย CFD หุ้นเป็นการเก็งกำไรจากส่วนต่างราคาโดยไม่ได้เป็นเจ้าของหุ้นจริง ทำให้สามารถใช้เลเวอเรจและทำ Short Selling ได้ง่ายกว่า
ในขณะที่การซื้อขายหุ้นโดยตรงคือการซื้อและเป็นเจ้าของหุ้นของบริษัทนั้น ๆ ได้รับสิทธิผู้ถือหุ้นและเงินปันผล แต่โดยทั่วไปจะทำกำไรได้เมื่อราคาหุ้นขึ้นเท่านั้น (ยกเว้นการ Short Sell หุ้นจริงที่ซับซ้อนกว่า)
3. CFD เสียภาษีในประเทศไทยหรือไม่? หากเสีย ต้องคำนวณอย่างไร?
หากนักลงทุนไทยมีกำไรจากการเทรด CFD และนำเงินกำไรนั้นกลับเข้ามาในประเทศไทยภายในปีภาษีเดียวกันกับที่ได้กำไรนั้น อาจถือเป็นเงินได้พึงประเมินประเภท 40(8) และต้องนำไปรวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามอัตราก้าวหน้า
การคำนวณควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านภาษี เนื่องจากมีรายละเอียดที่ซับซ้อนขึ้นอยู่กับรายได้รวมและค่าลดหย่อน
4. CFD Simulation คืออะไร และถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมใดบ้าง?
CFD Simulation หมายถึงกระบวนการจำลองและวิเคราะห์การเคลื่อนที่ของของไหลด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Computational Fluid Dynamics
ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมหลากหลาย เช่น วิศวกรรมอากาศยาน (ออกแบบปีกเครื่องบิน), ยานยนต์ (ออกแบบรถยนต์ให้มีอากาศพลศาสตร์ดีขึ้น), การแพทย์ (จำลองการไหลเวียนเลือด), การพยากรณ์อากาศ และการออกแบบอาคาร (การระบายอากาศ)
5. CFD คือ Pantip มีการพูดคุยหรือประสบการณ์อะไรที่น่าสนใจบ้าง?
ใน Pantip มักมีการพูดคุยเกี่ยวกับ CFD ในบริบทของการลงทุนและการเทรด ผู้ใช้มักจะสอบถามเกี่ยวกับการเลือกโบรกเกอร์, ประสบการณ์การเทรด, กลยุทธ์การลงทุน, ความเสี่ยงที่พบเจอ และข้อควรระวังต่าง ๆ
บางครั้งก็มีการเปรียบเทียบ CFD กับการลงทุนประเภทอื่น ๆ เช่น Forex หรือหุ้น เพื่อหาข้อดีข้อเสีย
6. Computational Fluid Dynamics (CFD) ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์อะไรในการทำงาน?
Computational Fluid Dynamics ใช้หลักการทางวิทยาศาสตร์ที่สำคัญหลายอย่าง เช่น
- สมการ Navier-Stokes: ซึ่งเป็นสมการพื้นฐานที่อธิบายการเคลื่อนที่ของของไหล
- การอนุรักษ์มวล: (Conservation of Mass)
- การอนุรักษ์โมเมนตัม: (Conservation of Momentum)
- การอนุรักษ์พลังงาน: (Conservation of Energy)
- ระเบียบวิธีเชิงตัวเลข: เช่น Finite Difference Method, Finite Volume Method, Finite Element Method ในการแก้สมการเหล่านี้บนคอมพิวเตอร์
7. Cfd กับ Forex และ Cfd กับ Future มีความแตกต่างและคล้ายคลึงกันอย่างไร?
CFD กับ Forex: คล้ายกันตรงที่เป็นการเก็งกำไรโดยใช้เลเวอเรจสูง ไม่ได้เป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง แต่ CFD มีสินทรัพย์อ้างอิงหลากหลายกว่า Forex ที่เน้นเฉพาะคู่สกุลเงิน
CFD กับ Future: คล้ายกันตรงที่เป็นอนุพันธ์ที่เก็งกำไรจากราคาโดยไม่เป็นเจ้าของสินทรัพย์จริง แต่ Future เป็นสัญญามาตรฐานที่มีวันหมดอายุและซื้อขายในตลาดที่มีการควบคุม ขณะที่ CFD มักไม่มีวันหมดอายุ (ส่วนใหญ่) และซื้อขายกับโบรกเกอร์โดยตรงในตลาด OTC
8. CFD Forex คืออะไร และเหมาะสำหรับนักลงทุนประเภทไหน?
CFD Forex คือการเทรดคู่สกุลเงินผ่านสัญญา CFD ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้เลเวอเรจและเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนได้
เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีประสบการณ์ในการเทรด, เข้าใจความเสี่ยงของเลเวอเรจ, มีความรู้เกี่ยวกับตลาด Forex, และสามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วในสภาวะตลาดที่ผันผวน ไม่เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ไม่มีความรู้และประสบการณ์
9. Cfd มีอะไรบ้างที่เราสามารถเลือกเทรดได้?
CFD มีสินทรัพย์อ้างอิงให้เลือกเทรดได้หลากหลายมาก ได้แก่
- หุ้น (จากตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก)
- ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (เช่น S&P 500, Dow Jones, FTSE 100)
- สินค้าโภคภัณฑ์ (เช่น ทองคำ, น้ำมัน, เงิน, กาแฟ)
- คู่สกุลเงิน (Forex)
- คริปโตเคอร์เรนซี (เช่น Bitcoin, Ethereum)
- และบางครั้งอาจรวมถึงพันธบัตรหรือ ETFs
10. Cfd Engineer มีบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบหลักอะไรบ้างในองค์กร?
CFD Engineer (วิศวกร CFD) คือผู้เชี่ยวชาญที่ใช้หลักการของ Computational Fluid Dynamics ในการวิเคราะห์และจำลองการไหลของของไหล
บทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบหลัก ได้แก่
- การสร้างแบบจำลอง (Modeling) และการตั้งค่าการจำลอง CFD
- การประมวลผลและวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการจำลอง
- การออกแบบและปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือระบบที่เกี่ยวข้องกับการไหลของของไหล
- การทำงานร่วมกับทีมวิศวกรอื่น ๆ เพื่อแก้ปัญหาทางเทคนิค
- การพัฒนาและปรับแต่งวิธีการจำลอง CFD