Fair Value Gap (FVG) คืออะไร: ทำความเข้าใจช่องว่างราคาในตลาด
ในโลกของการเทรดที่เต็มไปด้วยความผันผวน ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น ตลาดฟอเร็กซ์ หรือตลาดคริปโตเคอร์เรนซี การทำความเข้าใจพฤติกรรมราคาคือหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จ นักเทรดมืออาชีพหลายท่านมักมองหาสัญญาณที่บ่งชี้ถึงความผิดปกติหรือความไม่สมดุลของตลาด เพื่อฉกฉวยโอกาสในการทำกำไร ซึ่งหนึ่งในแนวคิดที่ทรงพลังและได้รับความนิยมอย่างมากคือ Fair Value Gap (FVG) หรือที่เรียกกันว่า “ช่องว่างราคา” นั่นเอง
แต่ FVG คืออะไรกันแน่? ทำไมมันถึงสำคัญ และเราจะใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างไร? บทความนี้จะนำคุณเจาะลึกถึงแก่นแท้ของ Fair Value Gap ตั้งแต่คำจำกัดความ สาเหตุการเกิด ไปจนถึงกลยุทธ์การเทรดที่นักลงทุนรายใหญ่ใช้ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงที่คุณต้องบริหารจัดการ เราจะร่วมกันไขความลับของ FVG เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการเทรดได้อย่างชาญฉลาดและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Fair Value Gap (FVG) คือความคลาดเคลื่อนของราคา หรือ “ช่องว่าง” บนกราฟที่สะท้อนให้เห็นถึงช่วงเวลาที่ตลาดไม่มีการซื้อขายที่สมดุลอย่างแท้จริง มักเกิดจากการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วและรุนแรงผิดปกติ จนไม่มีการจับคู่คำสั่งซื้อขายที่เพียงพอ ทำให้เกิดบริเวณที่ราคาไม่ได้ “สะท้อนมูลค่าที่แท้จริง” หรือ Fair Value ในช่วงเวลานั้นๆ ลองนึกภาพว่าราคาพุ่งขึ้นหรือดิ่งลงอย่างรวดเร็วจนผู้ซื้อและผู้ขายไม่มีโอกาสได้ตกลงราคากันอย่างเหมาะสม บริเวณช่องว่างนี้แหละคือ FVG
ในมุมมองทางเทคนิค FVG สามารถระบุได้บนกราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) โดยการสังเกตแท่งเทียน 3 แท่งติดกัน หากราคาสูงสุดของแท่งเทียนแรก และราคาต่ำสุดของแท่งเทียนที่สาม (สำหรับ FVG ขาลง) หรือราคาต่ำสุดของแท่งเทียนแรก และราคาสูงสุดของแท่งเทียนที่สาม (สำหรับ FVG ขาขึ้น) ไม่มีการทับซ้อนกันเลย บริเวณช่องว่างที่เกิดขึ้นระหว่างแท่งเทียนเหล่านี้คือ FVG ที่เรากำลังพูดถึง และขนาดของช่องว่างนี้ก็มักจะบ่งบอกถึงความสำคัญและความรุนแรงของการเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้น
FVG เกิดขึ้นได้อย่างไร: ต้นตอของความไม่สมดุลในตลาด
เราได้ทำความเข้าใจกันไปแล้วว่า Fair Value Gap (FVG) คืออะไรในทางเทคนิค แต่คำถามสำคัญถัดมาคือ อะไรคือสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้เกิดช่องว่างราคาเหล่านี้ขึ้นมาได้? การทำความเข้าใจ “สาเหตุ” จะช่วยให้คุณประเมินสถานการณ์ตลาดได้ดียิ่งขึ้น และมองเห็นโอกาสที่ซ่อนอยู่จากความไม่สมดุลของตลาด
โดยพื้นฐานแล้ว FVG มักจะเกิดขึ้นจากสภาวะที่ตลาด “ไม่สมดุล” (Imbalance) ซึ่งตรงข้ามกับสภาวะปกติที่ตลาดมีการซื้อขายที่ค่อนข้างสมดุล มีผู้ซื้อและผู้ขายจับคู่คำสั่งกันได้ตลอดเวลา แต่เมื่อใดที่เกิดแรงซื้อหรือแรงขายที่รุนแรงมากผิดปกติ แรงดังกล่าวจะผลักดันราคาให้เคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจนไม่มีเวลาให้ผู้ซื้อและผู้ขายอีกฝั่งเข้ามาเติมเต็มคำสั่งซื้อขายได้ทัน จึงเกิดเป็นช่องว่างขึ้นมา
สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้เกิด FVG มีดังนี้:
-
ข่าวสารสำคัญและเหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ/ภูมิรัฐศาสตร์: นี่คือปัจจัยที่พบบ่อยที่สุดและทรงพลังที่สุด ข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญ เช่น การประกาศอัตราดอกเบี้ย, รายงานตัวเลขเงินเฟ้อ, ผลประกอบการของบริษัท หรือแม้แต่เหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่คาดคิด (เช่น สงคราม, ภัยธรรมชาติ) สามารถกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยาของตลาดอย่างรวดเร็วและรุนแรง นักลงทุนจำนวนมากอาจเร่งเข้าซื้อหรือเทขายสินทรัพย์ทันที ส่งผลให้เกิดช่องว่างราคาขึ้นมาในพริบตา
-
การเปลี่ยนแปลงมุมมองตลาดอย่างฉับพลัน: บางครั้ง FVG ก็ไม่ได้เกิดจากข่าวโดยตรง แต่เกิดจากการที่นักลงทุนรายใหญ่หรือสถาบันการเงินเปลี่ยนมุมมองต่อสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งอย่างรวดเร็วและตัดสินใจเข้าซื้อหรือขายในปริมาณมหาศาล ซึ่งอาจเกิดจากการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกใหม่ๆ หรือการปรับกลยุทธ์ของตนเอง สิ่งนี้จะสร้างแรงกระเพื่อมขนาดใหญ่ในตลาด
-
การเข้าซื้อขายของนักลงทุนรายใหญ่ (Smart Money Concept): ตามแนวคิดของ Smart Money Concept ซึ่งเราจะเจาะลึกในหัวข้อถัดไป นักลงทุนรายใหญ่เหล่านี้ (เช่น ธนาคารกลาง, กองทุนเฮดจ์ฟันด์, สถาบันการเงินขนาดใหญ่) มีอิทธิพลต่อตลาดอย่างมหาศาล เมื่อพวกเขาตัดสินใจเข้าสู่ตลาดในปริมาณที่สูงมาก ไม่ว่าจะเป็นการเข้าซื้อเพื่อสะสมหรือการเทขายเพื่อทำกำไร ก็สามารถสร้างแรงกดดันต่อราคาจนเกิดช่องว่าง FVG ได้อย่างง่ายดาย
สาเหตุ | รายละเอียด |
---|---|
ข่าวสารสำคัญ | อิทธิพลจากข่าวเศรษฐกิจหรือเหตุการณ์ต่างๆ |
การเปลี่ยนมุมมอง | การเปลี่ยนแปลงของนักลงทุนรายใหญ่ |
Smart Money | การเข้าทีมของนักลงทุนรายใหญ่ |
กล่าวโดยสรุป FVG เป็นเหมือนรอยประทับของ “พฤติกรรมราคา” ที่แสดงให้เห็นว่ามีแรงซื้อหรือแรงขายเข้ามาในตลาดอย่างมีนัยสำคัญจนเกิดความไม่สมดุล ซึ่งมักจะชี้ให้เห็นถึงจุดที่ “เงินอัจฉริยะ” กำลังเคลื่อนไหว คุณจะเห็นได้ว่า FVG ไม่ใช่แค่กราฟที่ขาดๆ หายๆ แต่มันคือหลักฐานของพลังอำนาจที่มองไม่เห็นในตลาด
Smart Money Concept กับ Fair Value Gap: ทำไมนักลงทุนรายใหญ่ถึงสนใจ FVG
เมื่อพูดถึง Fair Value Gap (FVG) หนึ่งในแนวคิดที่มักถูกเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออกคือ Smart Money Concept (SMC) หรือแนวคิดเงินอัจฉริยะ คุณอาจเคยได้ยินคำนี้มาบ้างแล้ว แต่ทำไม FVG ถึงเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ที่นักลงทุนรายใหญ่ใช้กันล่ะ?
ตามแนวคิด Smart Money Concept ตลาดการเงินไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยนักลงทุนรายย่อยหรืออินดิเคเตอร์ที่ซับซ้อนเท่านั้น แต่ขับเคลื่อนด้วยการตัดสินใจและพฤติกรรมของ “Smart Money” ซึ่งหมายถึงสถาบันการเงินขนาดใหญ่ ธนาคาร กองทุน หรือนักลงทุนมืออาชีพที่มีเงินทุนมหาศาล พวกเขามีข้อมูลเชิงลึก มีทรัพยากร และสามารถส่งผลกระทบต่อราคาตลาดได้อย่างมีนัยสำคัญ การเคลื่อนไหวของราคาที่รุนแรงและก่อให้เกิด FVG มักถูกตีความว่าเป็น “ร่องรอย” ที่ Smart Money ทิ้งไว้
ทำไม FVG ถึงดึงดูดความสนใจของ Smart Money หรือถูกใช้เป็นสัญญาณโดยผู้ที่ติดตาม Smart Money? เหตุผลหลักๆ มีดังนี้:
-
บ่งบอกถึงการเข้ามาของคำสั่งขนาดใหญ่: การที่ราคาเคลื่อนไหวเร็วและเกิดช่องว่าง FVG ขึ้นนั้น บ่งชี้ว่ามีคำสั่งซื้อหรือขายจำนวนมหาศาลเข้ามาในตลาดอย่างกะทันหัน ซึ่งคำสั่งระดับนี้มักจะมาจากนักลงทุนรายใหญ่ ไม่ใช่นักลงทุนรายย่อย การสังเกต FVG จึงเป็นวิธีหนึ่งในการ “มองเห็น” ว่า Smart Money กำลังทำอะไรอยู่
-
เป็นโซนที่ตลาดต้องการปรับสมดุล: นักลงทุนรายใหญ่เข้าใจดีว่า FVG คือโซนที่ราคา “ไม่เป็นธรรม” หรือไม่สมดุลในระยะสั้น และตลาดมักจะพยายาม “เติมเต็มช่องว่าง” หรือกลับมาปรับสมดุลที่บริเวณนั้นในอนาคต ดังนั้น FVG จึงกลายเป็นจุดอ้างอิงสำคัญที่ Smart Money อาจใช้เป็นแนวรับ แนวต้าน หรือจุดที่พวกเขาจะเข้าจัดการตำแหน่งการลงทุนของตนเอง
-
ช่วยในการระบุโครงสร้างตลาด: FVG ร่วมกับแนวคิดอื่นๆ ใน SMC เช่น Order Blocks หรือ Liquidity Pools ช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าใจโครงสร้างของตลาด (Market Structure) ได้ดียิ่งขึ้น พวกเขาสามารถคาดการณ์ได้ว่าราคาจะเคลื่อนที่ไปที่ใดเพื่อ “ตามหา” สภาพคล่อง (liquidity) หรือเพื่อเติมเต็มช่องว่างที่ไม่สมดุล
จุดเด่นของ FVG | ความหมาย |
---|---|
การเข้ามาของคำสั่งขนาดใหญ่ | ราคาเคลื่อนไหวเร็ว แสดงว่ามีการซื้อขายจำนวนมาก |
โซนการปรับสมดุล | FVG เป็นจุดที่มีโอกาสปรับสมดุลราคา |
โครงสร้างตลาด | ช่วยให้นักเทรดเข้าใจการเคลื่อนไหวของตลาด |
ดังนั้น หากคุณกำลังเทรดในตลาดฟอเร็กซ์หรือตลาดหุ้น และต้องการคิดแบบนักลงทุนรายใหญ่ การทำความเข้าใจ Fair Value Gap (FVG) และแนวคิด Smart Money Concept จึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง เพราะมันช่วยให้เรามองทะลุพื้นผิวของราคา เข้าใจแรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลัง และคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาได้แม่นยำยิ่งขึ้น
วิธีระบุ Fair Value Gap บนกราฟราคา: สัญญาณที่นักเทรดต้องจับตา
การเข้าใจทฤษฎีเป็นสิ่งหนึ่ง แต่การนำไปใช้จริงบนกราฟราคาเป็นอีกสิ่งหนึ่ง การระบุ Fair Value Gap (FVG) บนกราฟอย่างถูกต้องคือทักษะสำคัญที่นักเทรดทุกคนต้องฝึกฝน เพื่อให้คุณสามารถมองเห็นโอกาสในการเทรดที่ซ่อนอยู่
FVG มักปรากฏชัดเจนบน กราฟแท่งเทียน (Candlestick Chart) เนื่องจากแท่งเทียนแสดงข้อมูลราคาเปิด ราคาสูงสุด ราคาต่ำสุด และราคาปิดในแต่ละช่วงเวลาได้อย่างครบถ้วน ทำให้เราสามารถสังเกต “ช่องว่าง” ที่เกิดขึ้นได้ง่าย โดยหลักการระบุ FVG ที่นิยมใช้คือการมองหา “แท่งเทียน 3 แท่ง” ติดกัน
มาดูกันว่าเราจะระบุ FVG ได้อย่างไร:
-
หลักการมองหา FVG: คุณต้องสังเกตแท่งเทียน 3 แท่งที่อยู่ติดกัน
-
สำหรับ FVG ขาลง (Bearish FVG): เกิดขึ้นเมื่อราคามีแนวโน้มลดลงอย่างรวดเร็ว ให้คุณดูแท่งเทียน 3 แท่งเรียงกัน แท่งเทียนที่อยู่ตรงกลางจะเป็นแท่งที่แสดงการเคลื่อนไหวลงอย่างรุนแรง FVG จะเกิดขึ้นในบริเวณที่ ราคาต่ำสุดของแท่งเทียนที่ 3 ไม่ได้ทับซ้อนกับราคาสูงสุดของแท่งเทียนที่ 1 พูดง่ายๆ คือไม่มีเนื้อแท่งเทียนหรือไส้เทียนของแท่งที่ 1 มาแตะกับแท่งที่ 3 เลย
-
สำหรับ FVG ขาขึ้น (Bullish FVG): เกิดขึ้นเมื่อราคามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในทำนองเดียวกัน ให้คุณดูแท่งเทียน 3 แท่ง แท่งกลางคือแท่งที่แสดงการเคลื่อนไหวขึ้นอย่างรุนแรง FVG จะเกิดขึ้นในบริเวณที่ ราคาสูงสุดของแท่งเทียนที่ 3 ไม่ได้ทับซ้อนกับราคาต่ำสุดของแท่งเทียนที่ 1 นั่นคือ ไม่มีเนื้อแท่งเทียนหรือไส้เทียนของแท่งที่ 1 มาแตะกับแท่งที่ 3 เลย
-
-
ลักษณะของ FVG บนกราฟ: เมื่อคุณระบุได้ คุณจะเห็นเหมือน “ช่องว่าง” ว่างเปล่าระหว่างไส้เทียนของแท่งที่ 1 และ 3 โดยไม่มีเนื้อเทียนหรือไส้เทียนของแท่งกลางมาปิดช่องว่างนั้น ยิ่งช่องว่างมีขนาดใหญ่เท่าไหร่ ยิ่งบ่งบอกถึงความรุนแรงของการเคลื่อนไหวและศักยภาพในการปรับสมดุลที่มากขึ้นเท่านั้น
-
FVG เป็นแนวโน้มชั่วคราว: สิ่งสำคัญที่ต้องจำคือ FVG เป็นการสะท้อนถึง “ความไม่สมดุล” ชั่วคราวของตลาด ราคาที่เกิดช่องว่างมักจะมีความต้องการที่จะ “เติมเต็ม” ช่องว่างนั้นในอนาคตเพื่อปรับสมดุล ซึ่งอาจเกิดขึ้นในระยะสั้น หรือใช้เวลานานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับกรอบเวลาที่คุณใช้และแรงผลักดันของตลาด
ลักษณะของ FVG | รายละเอียด |
---|---|
ช่องว่างระหว่างแท่งเทียน | ไม่ทับซ้อนกันระหว่างแท่งเทียนที่ 1 และ 3 |
ขนาดของช่องว่าง | บ่งบอกถึงความรุนแรงของการเคลื่อนไหวในตลาด |
การเติมเต็ม | อาจเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อปรับสมดุล |
การฝึกฝนการระบุ FVG บนกราฟใน Timeframe ต่างๆ จะช่วยให้คุณคุ้นเคยและสามารถมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว ลองเปิดกราฟย้อนหลังและลองหา Fair Value Gap ด้วยตัวเองดูสิ คุณจะเริ่มเห็น “ร่องรอย” ของ Smart Money ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน
กลยุทธ์การเทรดด้วย Fair Value Gap: การเติมเต็มช่องว่างและการเทรดตามเทรนด์
เมื่อเราสามารถระบุ Fair Value Gap (FVG) บนกราฟได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำมันมาประยุกต์ใช้ในกลยุทธ์การเทรด เพื่อหาจังหวะเข้าทำกำไรที่เหมาะสม มีสองกลยุทธ์หลักๆ ที่นักเทรดนิยมใช้เมื่อเจอ FVG:
1. กลยุทธ์รอให้ราคากลับมาเติมเต็มช่องว่าง (Gap Filling)
นี่คือกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดและเป็นพื้นฐานของการเทรดด้วย FVG เลยก็ว่าได้ แนวคิดคือ ตลาดมักจะพยายาม “เติมเต็ม” ช่องว่างที่เกิดขึ้นจากความไม่สมดุลของราคา นั่นหมายความว่าหลังจากที่ราคาได้สร้าง FVG ขึ้นมาแล้ว มีความเป็นไปได้สูงที่ราคาจะย้อนกลับมาที่บริเวณช่องว่างนั้นเพื่อปรับสมดุล
ตารางด้านล่างนี้จะสรุปวิธีการใช้กลยุทธ์ Gap Filling:
กลยุทธ์ | การประยุกต์ใช้ |
---|---|
สำหรับ FVG ขาขึ้น | รอให้ราคาย่อตัวกลับลงมาที่ FVG เพื่อใช้เป็นจุดเข้าซื้อ |
สำหรับ FVG ขาลง | รอให้ราคาดีดตัวกลับขึ้นไปที่ FVG เพื่อใช้เป็นจุดเข้าขาย |
ข้อควรพิจารณา: การเติมเต็มช่องว่างอาจเกิดขึ้นทันที หรืออาจใช้เวลาหลายวัน หลายสัปดาห์ ขึ้นอยู่กับ Timeframe และแรงผลักดันของตลาด การตั้งจุด Stop Loss ใต้ FVG สำหรับขาขึ้น หรือเหนือ FVG สำหรับขาลงเป็นสิ่งสำคัญ
2. กลยุทธ์เทรดตามทิศทางของช่องว่าง (Continuation/Trend Following)
แม้ว่าการเติมเต็มช่องว่างจะเป็นแนวคิดหลัก แต่ในบางสถานการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อ FVG เกิดขึ้นจากแรงขับเคลื่อนที่แข็งแกร่งมากจริงๆ (เช่น จากข่าวใหญ่หรือการเข้าของ Smart Money ที่มีเป้าหมายชัดเจน) ราคาอาจเคลื่อนที่ต่อไปในทิศทางเดิมอย่างต่อเนื่องโดยไม่กลับมาเติมเต็มช่องว่างทันที
การประยุกต์ใช้กลยุทธ์นี้อาจจะถูกสรุปในตารางข้างล่าง:
กลยุทธ์ | การประยุกต์ใช้ |
---|---|
FVG ขาขึ้น | เข้าซื้อเมื่อราคาเคลื่อนที่ในทิศทางการขึ้น |
FVG ขาลง | เข้าขายเมื่อราคายังคงลงอย่างต่อเนื่อง |
ข้อควรพิจารณา: กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยการยืนยันจากสัญญาณอื่นๆ เช่น การ breakout ของแนวต้านที่สำคัญ หรือการเคลื่อนที่เหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของเทรนด์ คุณต้องระมัดระวังเป็นพิเศษกับการเกิดสัญญาณหลอก (Fakeout) ที่อาจทำให้คุณติดอยู่ในทิศทางที่ไม่ถูกต้อง
ไม่ว่าคุณจะเลือกกลยุทธ์ใด การใช้ Fair Value Gap ร่วมกับเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคอื่นๆ เสมอ เช่น แนวรับแนวต้าน, แพทเทิร์นราคา, หรืออินดิเคเตอร์ต่างๆ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจของคุณอย่างมาก เพราะ FVG เป็นเพียงหนึ่งในจิ๊กซอว์ของภาพรวมทั้งหมด และที่สำคัญที่สุดคือการบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด
การใช้ FVG เป็นแนวรับและแนวต้าน: เพิ่มความคมชัดในการตัดสินใจ
นอกเหนือจากการเป็นพื้นที่ที่ตลาดต้องการกลับมาปรับสมดุลแล้ว Fair Value Gap (FVG) ยังสามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับ (Support) และแนวต้าน (Resistance) ที่สำคัญได้อีกด้วย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งประโยชน์ที่นักเทรดมืออาชีพใช้เพื่อระบุจุดเข้าและออกที่แม่นยำยิ่งขึ้น
หลักการทำงานของ FVG ในฐานะแนวรับและแนวต้านนั้นค่อนข้างตรงไปตรงมา:
-
FVG ในฐานะแนวรับ (Support Zone):
-
เมื่อราคาสร้าง Bullish FVG (ช่องว่างขาขึ้น) นั่นหมายความว่าแรงซื้อเข้ามาอย่างรุนแรงจนผลักราคาขึ้นไปอย่างรวดเร็ว บริเวณ FVG ที่เกิดขึ้นนี้จึงเปรียบเสมือน “คำสั่งซื้อที่ยังไม่ถูกเติมเต็ม” หรือ “คำสั่งซื้อที่ Smart Money อาจรออยู่” เมื่อราคาทำการย่อตัวกลับลงมาในอนาคต มีแนวโน้มสูงที่มันจะ “หา” แนวรับที่บริเวณ FVG นี้ และอาจมีแรงซื้อกลับเข้ามาผลักดันราคาขึ้นไปอีกครั้ง
-
ดังนั้น สำหรับนักเทรดที่ต้องการเข้าซื้อในตลาดขาขึ้น FVG ที่เกิดขึ้นอาจเป็นจุดที่น่าสนใจในการหาจังหวะ Buy On Dip หรือเข้าซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวกลับมา การตั้ง Stop Loss ใต้บริเวณ FVG เล็กน้อยจะช่วยจำกัดความเสี่ยงหากแนวรับนี้ไม่สามารถรองรับราคาได้
-
-
FVG ในฐานะแนวต้าน (Resistance Zone):
-
ในทางกลับกัน เมื่อราคาสร้าง Bearish FVG (ช่องว่างขาลง) นั่นแสดงว่ามีแรงขายมหาศาลผลักดันราคาลงมาอย่างรวดเร็ว บริเวณ FVG ที่เกิดขึ้นนี้จึงเปรียบเสมือน “คำสั่งขายที่ยังไม่ถูกเติมเต็ม” หรือ “คำสั่งขายที่ Smart Money อาจรออยู่” เมื่อราคาทำการดีดตัวกลับขึ้นไปในอนาคต มีแนวโน้มสูงที่มันจะ “หา” แนวต้านที่บริเวณ FVG นี้ และอาจมีแรงขายกลับเข้ามาผลักดันราคาลงมาอีกครั้ง
-
สำหรับนักเทรดที่ต้องการเข้าขายหรือเปิดสถานะ Short ในตลาดขาลง FVG ที่เกิดขึ้นอาจเป็นจุดที่น่าสนใจในการหาจังหวะ Sell On Rally หรือเข้าขายเมื่อราคาดีดตัวกลับมา การตั้ง Stop Loss เหนือบริเวณ FVG เล็กน้อยจะช่วยปกป้องคุณจากการขาดทุนหากแนวต้านนี้ถูกทะลุ
-
FVG เป็นแนวรับ/แนวต้าน | รายละเอียด |
---|---|
FVG ในฐานะแนวรับ | เมื่อราคาย่อตัวกลับอาจพบการสนับสนุน |
FVG ในฐานะแนวต้าน | เมื่อดีดตัวกลับอาจพบการต้านทาน |
การใช้ FVG เป็นแนวรับและแนวต้านต้องอาศัยการยืนยันจากสัญญาณอื่นๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบแท่งเทียนกลับตัวที่บริเวณ FVG, การเบี่ยงเบนของอินดิเคเตอร์ (Divergence), หรือการรวมตัวกับแนวรับแนวต้านสำคัญอื่นๆ ที่มาจาก Fibonacci Retracement หรือ Pivot Points การเข้าใจว่า FVG เป็นเพียง “โซน” ไม่ใช่เส้นราคาที่ตายตัว จะช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นในการเทรดมากขึ้น
ผสาน FVG กับอินดิเคเตอร์อื่น: เพิ่มความแม่นยำในการเทรด
ในฐานะนักเทรดที่ต้องการความได้เปรียบสูงสุด การพึ่งพาเครื่องมือเพียงชิ้นเดียวมักไม่เพียงพอ การผสาน Fair Value Gap (FVG) เข้ากับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่นๆ จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวิเคราะห์และยืนยันสัญญาณการเทรดของคุณได้อย่างมีนัยสำคัญ เปรียบเสมือนการมีหลักฐานหลายชิ้นมายืนยันข้อสันนิษฐานของคุณ
นี่คืออินดิเคเตอร์บางส่วนที่คุณสามารถใช้ร่วมกับ FVG ได้:
-
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages – MA):
-
การใช้งาน: Moving Averages สามารถใช้เป็นแนวรับแนวต้านแบบพลวัต และบอกทิศทางของแนวโน้ม เมื่อราคาเคลื่อนที่กลับมายังบริเวณ FVG ที่คาดว่าเป็นแนวรับ/แนวต้าน และบริเวณนั้นมี MA ที่สำคัญพาดผ่านอยู่ด้วย สัญญาณจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
-
ตัวอย่าง: ในตลาดขาขึ้น หากราคาย่อตัวลงมาที่ FVG ซึ่งเป็นแนวรับ และพบว่ามีเส้น MA ระยะสั้น (เช่น MA 20 หรือ MA 50) รองรับอยู่ข้างใต้ด้วย นี่เป็นสัญญาณที่แข็งแกร่งขึ้นว่าราคาอาจจะเด้งกลับ
-
-
ดัชนีความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ (Relative Strength Index – RSI):
-
การใช้งาน: RSI ใช้บอกสภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) และสามารถบ่งชี้ถึงการเกิด Divergence (ราคาทำจุดสูงสุดใหม่ แต่ RSI ทำจุดสูงสุดที่ต่ำลง บ่งชี้แรงซื้ออ่อนแรงลง)
-
ตัวอย่าง: หากราคาขึ้นไปถึง FVG ซึ่งเป็นแนวต้าน และ RSI แสดงสภาวะ Overbought หรือเกิด Bearish Divergence นั่นเป็นสัญญาณยืนยันว่าราคาอาจจะกลับตัวลงจาก FVG นั้น
-
-
ปริมาณการซื้อขาย (Volume):
-
การใช้งาน: Volume ช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของการเคลื่อนไหว หากราคาพุ่งขึ้นหรือดิ่งลงพร้อม Volume ที่สูง นั่นหมายถึงมีนักลงทุนจำนวนมากเข้าร่วม และเมื่อราคากลับมาที่ FVG หากมี Volume สูง แสดงถึงการตอบสนองของตลาดต่อโซนนั้น
-
ตัวอย่าง: เมื่อราคากลับมาเติมเต็ม FVG ขาขึ้น และเริ่มมีการเด้งตัวกลับขึ้นไป หากเห็น Volume ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แสดงว่ามีแรงซื้อเข้ามาหนุนที่บริเวณนั้นจริงจัง
-
-
เครื่องมือ Fibonacci Retracement:
-
การใช้งาน: Fibonacci Retracement ใช้เพื่อระบุระดับแนวรับแนวต้านที่ราคาอาจกลับตัว เมื่อ FVG ไปทับซ้อนกับระดับ Fibonacci สำคัญ (เช่น 0.5 หรือ 0.618) สัญญาณจะยิ่งน่าเชื่อถือ
-
การผสมผสานเครื่องมือเหล่านี้เข้าด้วยกันจะช่วยให้คุณมี “ภาพรวม” ของตลาดที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และลดโอกาสในการเจอสัญญาณหลอก (Fakeout) ที่อาจทำให้คุณขาดทุนได้ โปรดจำไว้ว่า ไม่มีอินดิเคเตอร์ใดที่สมบูรณ์แบบ การเรียนรู้ที่จะใช้ FVG ร่วมกับเครื่องมือที่คุณคุ้นเคย จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจของคุณได้อย่างแน่นอน
ข้อดีและโอกาสทำกำไรจากการใช้ Fair Value Gap
Fair Value Gap (FVG) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ช่องว่างบนกราฟราคา แต่เป็นแหล่งรวมโอกาสในการทำกำไรสำหรับนักเทรดที่เข้าใจและสามารถใช้ประโยชน์จากมันได้อย่างถูกวิธี การทำความเข้าใจข้อดีของ FVG จะช่วยให้คุณเห็นถึงศักยภาพที่ซ่อนอยู่ในเครื่องมือวิเคราะห์นี้
ข้อดีหลักๆ ของการใช้ FVG ในการเทรดมีดังนี้:
-
ระบุโซนความไม่สมดุลของราคาได้อย่างชัดเจน: FVG เป็นสัญญาณที่ชัดเจนของความไม่สมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานในตลาด ซึ่งมักเกิดจากการเข้าซื้อขายของนักลงทุนรายใหญ่ (Smart Money) การที่เราสามารถระบุโซนเหล่านี้ได้ ทำให้เราทราบว่าราคา “ไม่ยุติธรรม” และมีแนวโน้มที่จะกลับมาปรับสมดุล ซึ่งเป็นโอกาสในการวางแผนการเทรด
-
เป็นแนวรับและแนวต้านที่มีประสิทธิภาพ: อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้ว FVG มักทำหน้าที่เป็นแนวรับหรือแนวต้านที่แข็งแกร่ง ซึ่งนักเทรดสามารถใช้เป็นจุดเข้าซื้อหรือเข้าขายได้ การกำหนดจุดเข้าและออกที่ชัดเจนนี้ช่วยลดความสับสนในการตัดสินใจ
-
ช่วยในการหาจุดเข้า/ออกที่มีความเสี่ยงต่ำ-ผลตอบแทนสูง: เนื่องจาก FVG บ่งชี้ถึงโซนที่ราคาอาจกลับตัวเพื่อเติมเต็มช่องว่าง การเข้าเทรดที่บริเวณ FVG ทำให้คุณสามารถวางจุด Stop Loss ได้ค่อนข้างใกล้กับจุดเข้า ซึ่งหมายถึงความเสี่ยงที่จำกัด แต่มีโอกาสที่ราคาจะวิ่งไปไกลเพื่อเติมเต็มช่องว่างนั้น ทำให้ได้อัตราส่วน Risk-Reward Ratio ที่ดี
-
ใช้ได้ในทุก Timeframe: ไม่ว่าคุณจะเป็น Day Trader ที่เน้นการเทรดระยะสั้น หรือ Swing Trader ที่ถือครองตำแหน่งนานขึ้น FVG ก็สามารถปรากฏให้เห็นและนำไปใช้ได้ในทุกๆ Timeframe ตั้งแต่กราฟรายนาทีไปจนถึงกราฟรายวันหรือรายสัปดาห์
-
สะท้อนพฤติกรรมของ Smart Money: การทำความเข้าใจ FVG ช่วยให้คุณมองเห็น “ร่องรอย” ของนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งมีความได้เปรียบในตลาด การเลียนแบบหรือทำความเข้าใจว่า Smart Money เคลื่อนไหวอย่างไรเป็นสิ่งสำคัญในการประสบความสำเร็จในตลาดการเงิน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่า FVG จะมอบโอกาสในการทำกำไรที่น่าสนใจ แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องเข้าใจถึงความเสี่ยงที่มาพร้อมกับมัน ซึ่งเราจะพูดถึงในหัวข้อถัดไป การเรียนรู้ที่จะใช้ FVG อย่างชาญฉลาดและรอบคอบเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณสามารถคว้าโอกาสเหล่านี้ไว้ได้อย่างยั่งยืน
ความเสี่ยงและข้อควรระวังในการเทรดด้วย FVG: ปกป้องเงินทุนของคุณ
แม้ว่า Fair Value Gap (FVG) จะเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังและมอบโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เหมือนกับเครื่องมืออื่นๆ ในการเทรด ที่มาพร้อมกับความเสี่ยงและข้อควรระวังที่คุณต้องตระหนักถึงอย่างถ่องแท้ การเพิกเฉยต่อความเสี่ยงเหล่านี้อาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างรุนแรง และทำลายบัญชีเทรดของคุณได้
นี่คือความเสี่ยงและข้อควรระวังที่สำคัญเมื่อใช้ FVG:
-
ราคาอาจไม่ย้อนกลับมาเติมเต็มช่องว่าง: นี่คือความเสี่ยงที่สำคัญที่สุด แม้แนวคิดหลักคือราคาจะกลับมาเติมเต็ม FVG เพื่อปรับสมดุล แต่ในความเป็นจริงแล้ว ราคาอาจไม่กลับมาเติมเต็มช่องว่างนั้นเลยก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีแรงผลักดันที่แข็งแกร่งมากจริงๆ (เช่น ข่าวที่เปลี่ยนพื้นฐานของสินทรัพย์ไปอย่างสิ้นเชิง) ราคาอาจวิ่งสวนทางต่อไปเรื่อยๆ ทำให้คุณติดสถานะที่ขาดทุนได้หากไม่ได้ตั้ง Stop Loss
-
สัญญาณหลอก (False Signals/Fakeouts): ในบางครั้ง ราคาอาจกลับมาแตะบริเวณ FVG เพียงชั่วคราวแล้วกลับตัวไปในทิศทางตรงกันข้ามทันที ทำให้คุณติดกับดักหากเข้าเทรดตามสัญญาณกลับตัวที่ไม่ได้รับการยืนยัน การเกิดสัญญาณหลอกมักพบได้บ่อยในตลาดที่มีความผันผวนสูง หรือเมื่อมีข่าวลวง
-
ความผันผวนรุนแรง: FVG มักเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง ซึ่งเป็นช่วงที่การเคลื่อนไหวของราคาอาจรุนแรงและคาดเดาได้ยาก การเทรดในช่วงเวลาดังกล่าวต้องอาศัยประสบการณ์และการตัดสินใจที่รวดเร็ว การวางแผนล่วงหน้าเป็นสิ่งสำคัญ
-
ไม่ควรมอง FVG เป็นเครื่องมือเดียว: FVG เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ แต่ไม่ควรมองว่าเป็น “จอกศักดิ์สิทธิ์” ที่จะทำให้คุณชนะทุกการเทรด การใช้ FVG เพียงอย่างเดียวโดยไม่พิจารณาสัญญาณจากอินดิเคเตอร์อื่นๆ แนวโน้มหลักของตลาด หรือปัจจัยพื้นฐาน อาจนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด
-
Overtrading: การเห็น FVG บ่อยครั้ง โดยเฉพาะใน Timeframe ที่ต่ำ อาจกระตุ้นให้เกิดการ Overtrading (เทรดมากเกินไป) ซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงและค่าธรรมเนียมการเทรดโดยไม่จำเป็น
ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) คุณต้องมีแผนการเทรดที่ชัดเจน กำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit เสมอ ไม่ว่าคุณจะมั่นใจในสัญญาณ FVG แค่ไหนก็ตาม การปกป้องเงินทุนของคุณคือเป้าหมายอันดับหนึ่งในการเทรดระยะยาว และคุณควรพิจารณาแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือบริหารความเสี่ยงที่ครบครัน
การบริหารความเสี่ยงเมื่อเทรดด้วย FVG: กุญแจสู่ความยั่งยืน
การเข้าใจ Fair Value Gap (FVG) เป็นสิ่งสำคัญ แต่การที่จะนำความรู้นั้นไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นบวกอย่างยั่งยืนในระยะยาว หัวใจสำคัญกลับอยู่ที่ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management) ไม่ว่ากลยุทธ์ของคุณจะดีแค่ไหน หากปราศจากการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม คุณก็อาจเผชิญกับการขาดทุนครั้งใหญ่ที่ยากจะฟื้นตัวได้
เรามาดูกันว่าการบริหารความเสี่ยงเมื่อเทรดด้วย FVG ควรทำอย่างไรบ้าง:
-
กำหนดจุด Stop Loss ที่ชัดเจน:
-
เมื่อคุณเข้าเทรดโดยใช้ FVG เป็นแนวรับหรือแนวต้าน คุณต้องกำหนดจุด Stop Loss (จุดตัดขาดทุน) เสมอ
-
สำหรับ FVG ขาขึ้น (Bullish FVG): หากคุณเข้าซื้อโดยคาดว่าราคาจะเด้งขึ้นจาก FVG ให้วาง Stop Loss ไว้ต่ำกว่าบริเวณ FVG หรือต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่สามเล็กน้อย
-
สำหรับ FVG ขาลง (Bearish FVG): หากคุณเข้าขายโดยคาดว่าราคาจะถูกกดลงจาก FVG ให้วาง Stop Loss ไว้สูงกว่าบริเวณ FVG หรือสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่สามเล็กน้อย
-
การกำหนด Stop Loss ช่วยจำกัดการขาดทุนสูงสุดที่คุณยินดีจะยอมรับต่อหนึ่งการเทรด
-
-
คำนวณขนาด Position Size อย่างเหมาะสม:
-
อย่าเสี่ยงเงินเกินกว่าที่คุณจะรับไหวในแต่ละการเทรด กฎทั่วไปคือไม่ควรเสี่ยงเกิน 1-2% ของเงินทุนทั้งหมดในบัญชีต่อการเทรดหนึ่งครั้ง
-
การคำนวณขนาด Position Size ที่เหมาะสมจะช่วยให้แม้คุณจะแพ้หลายครั้งติดกัน บัญชีของคุณก็ยังคงอยู่รอดเพื่อเทรดในครั้งต่อไป
-
-
กำหนด Risk-Reward Ratio:
-
ก่อนเข้าเทรด คุณควรประเมินว่าการเทรดครั้งนี้มีอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนเท่าไหร่ (Risk-Reward Ratio)
-
เช่น หากคุณเสี่ยง 100 บาท เพื่อหวังผลกำไร 200 บาท นั่นคืออัตราส่วน 1:2 การเทรดที่ใช้ FVG มักจะให้โอกาสในการหาจุดเข้าที่มี Risk-Reward Ratio ที่ดี
-
พยายามเลือกการเทรดที่มีอัตราส่วน Risk-Reward Ratio ที่ดี เช่น 1:1.5 หรือ 1:2 ขึ้นไป
-
-
หลีกเลี่ยงการ Overtrading:
-
การเห็น FVG บ่อยครั้งอาจทำให้คุณอยากเทรดตลอดเวลา ซึ่งนำไปสู่การเทรดที่ไม่มีคุณภาพ และเพิ่มค่าธรรมเนียมโดยไม่จำเป็น
-
เลือกเทรดเฉพาะสัญญาณ FVG ที่ชัดเจนและได้รับการยืนยันจากอินดิเคเตอร์อื่นเท่านั้น
-
-
พิจารณาการใช้ Timeframe ที่ใหญ่ขึ้น:
-
สัญญาณ FVG ใน Timeframe ที่ใหญ่กว่า (เช่น รายวัน ราย 4 ชั่วโมง) มักจะมีความน่าเชื่อถือมากกว่าใน Timeframe ที่เล็กกว่า (เช่น รายนาที) เนื่องจากสัญญาณใน Timeframe ที่ใหญ่กว่ามี “สัญญาณรบกวน” น้อยกว่า
-
การบริหารความเสี่ยงที่ดีคือรากฐานสำคัญของการเทรดที่ประสบความสำเร็จในระยะยาว มันจะช่วยให้คุณอยู่รอดในตลาด และสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าคุณจะมีความรู้เกี่ยวกับ FVG หรือกลยุทธ์อื่นๆ มากมายเพียงใดก็ตาม หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มการเทรดที่มีเครื่องมือบริหารความเสี่ยงครบครันและได้รับความไว้วางใจจากนักเทรดทั่วโลกเพื่อเริ่มต้นการเดินทางในการเทรดของคุณ โดยเฉพาะในการเทรดฟอเร็กซ์หรือ CFD ต่างๆ เราขอแนะนำ Moneta Markets ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่น่าสนใจและมีมาตรฐาน ด้วยการรองรับแพลตฟอร์มอย่าง MT4, MT5 และ Pro Trader ที่ให้คุณสามารถเข้าถึงเครื่องมือบริหารความเสี่ยงได้หลากหลาย
บทสรุป: Fair Value Gap เครื่องมือสำคัญสู่การเทรดอย่างชาญฉลาด
เราได้เดินทางมาถึงบทสรุปของเรื่องราวเกี่ยวกับ Fair Value Gap (FVG) แล้ว คุณคงเห็นแล้วว่า FVG ไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นกราฟที่ขาดๆ หายๆ แต่เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทรงพลังและมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักเทรดที่ต้องการทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาที่ผิดปกติ และหาโอกาสในการเข้าสู่ตลาดอย่างชาญฉลาด
เราเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจว่า Fair Value Gap คืออะไร ซึ่งก็คือช่องว่างราคาที่สะท้อนถึงความไม่สมดุลอย่างรุนแรงระหว่างแรงซื้อและแรงขาย จากนั้นเราก็ได้เจาะลึกถึงสาเหตุของการเกิด FVG ไม่ว่าจะเป็นข่าวสารสำคัญ เหตุการณ์ทางเศรษฐกิจ หรือที่สำคัญที่สุดคือการเข้าซื้อขายของ Smart Money Concept ซึ่งทิ้งร่องรอยไว้ในรูปแบบของช่องว่างเหล่านี้
คุณได้เรียนรู้วิธีการระบุ FVG บนกราฟแท่งเทียนโดยใช้หลักการแท่งเทียน 3 แท่ง ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานที่สำคัญยิ่งต่อการนำไปใช้งานจริง เรายังได้สำรวจกลยุทธ์การเทรดหลักๆ ที่นักเทรดนิยมใช้ ทั้งการรอให้ราคากลับมาเติมเต็มช่องว่าง (Gap Filling) และการเทรดตามทิศทางของช่องว่างที่เกิดขึ้น พร้อมกับทำความเข้าใจว่า FVG สามารถทำหน้าที่เป็นแนวรับและแนวต้านที่มีประสิทธิภาพได้อย่างไร
นอกจากนี้ เรายังได้พูดถึงความสำคัญของการผสาน FVG เข้ากับอินดิเคเตอร์อื่นๆ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือ RSI เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการตัดสินใจ และที่สำคัญที่สุด เราได้เน้นย้ำถึงข้อดี โอกาสในการทำกำไร ไปจนถึงความเสี่ยงและข้อควรระวังในการเทรดด้วย FVG พร้อมทั้งแนวคิดเรื่อง การบริหารความเสี่ยง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่ความยั่งยืนในโลกของการเทรด
โปรดจำไว้ว่า การเทรดไม่ใช่เรื่องของการคาดเดา แต่เป็นเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูล การวางแผน และการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ Fair Value Gap (FVG) เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือที่คุณสามารถเพิ่มเข้าไปในคลังแสงของคุณ เพื่อให้การตัดสินใจเทรดของคุณมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น การฝึกฝน การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง และการทำความเข้าใจบริบทตลาดร่วมกับการใช้อินดิเคเตอร์อื่น ๆ จะช่วยให้นักเทรดสามารถใช้ FVG ได้อย่างมั่นใจและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และหากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และมีใบอนุญาตจากหน่วยงานกำกับดูแลหลายแห่ง เช่น FSCA, ASIC, FSA เพื่อเริ่มต้นการเทรดที่มั่นคงและปลอดภัย Moneta Markets คืออีกหนึ่งทางเลือกที่ควรพิจารณา ซึ่งให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อประสบการณ์การเทรดที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับfair value gap คือ
Q:Fair Value Gap คืออะไร?
A:Fair Value Gap คือช่องว่างราคาที่เกิดขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็วซึ่งไม่มีการซื้อขายที่สมดุล
Q:ทำไม Fair Value Gap ถึงสำคัญในการเทรด?
A:FVG ช่วยให้นักเทรดเห็นจุดที่ราคาอาจส่งสัญญาณการกลับตัวหรือปรับสมดุล
Q:เราจะระบุ Fair Value Gap ได้อย่างไร?
A:คุณสามารถระบุ FVG ได้จากกราฟแท่งเทียนโดยดูที่แท่งเทียน 3 แท่งติดกัน และสังเกตว่าราคาไม่ทับซ้อนกัน