ทำความเข้าใจ Hedging: แก่นแท้ของการป้องกันความเสี่ยง
ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวนและไม่แน่นอน คุณเคยสงสัยไหมว่านักลงทุนมืออาชีพหรือแม้แต่บริษัทใหญ่ ๆ เขามีวิธีบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านี้อย่างไร? คำตอบหนึ่งที่สำคัญคือการใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า “การป้องกันความเสี่ยง” หรือ Hedging นั่นเองครับ
บ่อยครั้งเมื่อเราพูดถึงการลงทุน เรามักจะนึกถึงแต่เรื่องของ “กำไร” และ “ผลตอบแทนสูงสุด” แต่ในความเป็นจริงแล้ว การบริหารจัดการความเสี่ยงคือหัวใจสำคัญที่ทำให้การลงทุนของคุณยั่งยืนและมั่นคง การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อสร้างผลกำไรที่สูงขึ้นโดยตรง แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง
ลองจินตนาการถึงการขับรถบนถนนที่อาจมีสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้า คุณคงไม่อยากขับรถโดยไม่มีเบรกหรือถุงลมนิรภัยใช่ไหมครับ? การ Hedging ก็เปรียบเสมือน “ระบบความปลอดภัย” ในพอร์ตการลงทุนของคุณ มันคือการที่คุณยอมจ่าย “เบี้ยประกัน” เล็กน้อย เพื่อปกป้องสินทรัพย์หลักของคุณจากการขาดทุนมหาศาลที่อาจเกิดขึ้น
พูดให้เข้าใจง่ายที่สุด การ Hedging คือการ “วางเดิมพันตรงกันข้าม” กับการลงทุนหลักของคุณ เพื่อชดเชยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คุณคาดหวัง สมมติว่าคุณถือหุ้นของบริษัทแห่งหนึ่งและกังวลว่าราคาอาจจะร่วงลงในอนาคตอันใกล้ คุณอาจจะใช้กลยุทธ์ Hedging ด้วยการซื้อ “สัญญาขายล่วงหน้า” ของหุ้นตัวนั้นไว้ หากราคาหุ้นร่วงลงจริง ๆ แม้คุณจะขาดทุนจากการถือหุ้น แต่คุณก็จะได้กำไรจากสัญญาขายล่วงหน้ามาช่วยชดเชย ทำให้การขาดทุนโดยรวมของคุณลดลง
สิ่งสำคัญที่คุณต้องจำไว้คือ Hedging ไม่ใช่การแสวงหากำไรสูงสุด แต่เป็นการ “รักษาเงินทุน” และ “จำกัดการขาดทุน” หากคุณสามารถลดความเสี่ยงได้ดี คุณก็จะมีโอกาสรอดในตลาดระยะยาว และมีสภาพคล่องเหลือพอที่จะคว้าโอกาสเมื่อมันมาถึง
ทำไม Hedging จึงสำคัญ: บทบาทในการลงทุนระยะยาว
ทำไมเราจึงต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงมากขนาดนี้ ในเมื่อการลงทุนคือการยอมรับความเสี่ยงเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น? คำตอบคือ ตลาดการเงินนั้นมีความผันผวนและไม่แน่นอนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือแม้แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันทั่วโลก ล้วนส่งผลกระทบต่อมูลค่าการลงทุนของเราได้ทั้งสิ้น การมีกลไกป้องกันความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดและความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว
สำหรับนักลงทุนมือใหม่ การทำความเข้าใจ Hedging อาจจะดูซับซ้อนในตอนแรก แต่เมื่อคุณเห็นภาพรวมแล้ว คุณจะพบว่ามันคือรากฐานสำคัญของการลงทุนอย่างมีวินัย การ Hedging ช่วยให้คุณสามารถ:
- ลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน: ตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์อื่น ๆ สามารถขึ้นลงได้รวดเร็วราวกับรถไฟเหาะ การ Hedging จะช่วยลดแรงกระแทกเมื่อตลาดปรับตัวลงอย่างรุนแรง ทำให้พอร์ตของคุณมีความเสถียรมากขึ้น
- ปกป้องกำไรที่ทำมาได้: หากคุณได้กำไรจากการลงทุนมาพอสมควรแล้ว แต่ยังไม่อยากขายสินทรัพย์ออกไป การ Hedging สามารถช่วยล็อคกำไรเหล่านั้นไว้ได้ เหมือนกับการที่คุณซื้อประกันให้กับสิ่งของมีค่า เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะไม่สูญเสียมันไป
- สร้างความอุ่นใจในการลงทุน: เมื่อคุณรู้ว่าพอร์ตของคุณมีเกราะป้องกันความเสี่ยงในระดับหนึ่ง คุณก็จะสามารถลงทุนได้อย่างสบายใจมากขึ้น ไม่ต้องคอยกังวลกับการเคลื่อนไหวของตลาดในทุก ๆ วัน
- รักษาสภาพคล่อง: การขาดทุนจำนวนมากอาจทำให้คุณต้องถอนเงินออกจากตลาดในเวลาที่ไม่เหมาะสม การ Hedging ช่วยให้คุณไม่ต้องเผชิญสถานการณ์นั้น ทำให้คุณมีเงินทุนพร้อมสำหรับโอกาสใหม่ ๆ เสมอ
ประโยชน์ของ Hedging | คำอธิบาย |
---|---|
ลดความผันผวน | ช่วยลดแรงกระแทกเมื่อตลาดปรับตัวลง |
ปกป้องกำไร | ล็อคกำไรที่ทำมาได้โดยไม่ต้องขาย |
สร้างความอุ่นใจ | ลงทุนได้อย่างสบายใจไม่ต้องกังวล |
รักษาสภาพคล่อง | ไม่ต้องถอนเงินในเวลาที่ไม่เหมาะสม |
ดังนั้น การเรียนรู้และประยุกต์ใช้การ Hedging จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิค แต่เป็นเรื่องของ “ปรัชญาการลงทุน” ที่เน้นการบริหารจัดการความเสี่ยงก่อนที่จะคิดถึงเรื่องของผลกำไรสูงสุด เพราะการรักษาเงินต้นไว้ได้คือหัวใจสำคัญของการอยู่รอดในระยะยาว
Hedging ในบริบทกองทุนรวม: จัดการความเสี่ยงค่าเงิน
มาดูกันว่าการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) มีบทบาทอย่างไรในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่คุณอาจคุ้นเคยอย่าง กองทุนรวม โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ สำหรับกองทุนประเภทนี้ สิ่งที่นักลงทุนต้องเผชิญนอกเหนือจากความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่ลงทุนโดยตรงแล้ว ก็คือ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน นั่นเองครับ
ลองนึกภาพว่าคุณลงทุนในกองทุนหุ้นจีนที่อยู่ในสกุลเงินหยวน ถ้าค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินบาทไทย นั่นหมายความว่าเงินลงทุนของคุณจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาท แต่ถ้าค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง แม้หุ้นจีนที่คุณลงทุนจะทำกำไรได้ดี แต่เมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาท คุณก็อาจจะขาดทุนได้ เพราะค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั่นเอง
นี่คือจุดที่ นโยบายการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedging Policy) ของกองทุนรวมต่างประเทศเข้ามามีบทบาท สำหรับกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ นโยบายการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedging Policy) เป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณา เนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทโดยตรงต่อผลตอบแทนของกองทุน
กองทุนรวมต่างประเทศส่วนใหญ่จะระบุนโยบายค่าเงินไว้ใน หนังสือชี้ชวน อย่างชัดเจนว่ามีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน (Partial Hedge) หรือทั้งหมด (Full Hedge) หรือไม่มีการป้องกันความเสี่ยงเลย (Unhedged) ซึ่งแต่ละนโยบายก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป:
- กองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedged Fund): กองทุนประเภทนี้จะใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) หรือตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) เพื่อล็อคอัตราแลกเปลี่ยนไว้ล่วงหน้า ทำให้ผลตอบแทนของนักลงทุนไม่ได้ขึ้นอยู่กับความผันผวนของค่าเงินบาท ข้อดีคือ คุณไม่ต้องกังวลว่าเงินบาทจะแข็งค่าจนทำให้กำไรหายไป แต่ข้อเสียคือ คุณก็จะเสียโอกาสในการทำกำไรเพิ่มหากเงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อกองทุนที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
- กองทุนที่ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Unhedged Fund): กองทุนประเภทนี้จะปล่อยให้ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินโดยตรง หากเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศที่คุณลงทุน กองทุนก็จะยิ่งได้กำไรมากขึ้น (จากผลของค่าเงิน) แต่ถ้าเงินบาทแข็งค่า กองทุนก็อาจจะขาดทุนได้แม้สินทรัพย์หลักจะทำกำไรก็ตาม
ประเภทกองทุน | วิธีการป้องกันความเสี่ยง | ข้อดี | ข้อเสีย |
---|---|---|---|
Hedged Fund | ใช้ Futures และ Derivatives | ไม่ต้องกังวลการเคลื่อนไหวเงินบาท | เสียโอกาสเมื่อเงินบาทอ่อนค่า |
Unhedged Fund | ไม่มีการป้องกันความเสี่ยง | ได้กำไรเมื่อเงินบาทอ่อนค่า | ขาดทุนได้หากเงินบาทแข็งค่า |
ดังนั้น ก่อนการลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ การตรวจสอบนโยบายการ Hedging ค่าเงินจึงเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อผลตอบแทนสุดท้ายที่คุณจะได้รับ
ปัจจัยในการตัดสินใจ: เลือกกองทุนที่มีหรือไม่มี Hedging ดี?
เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่ากองทุนรวมต่างประเทศมีนโยบายการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินที่แตกต่างกัน คำถามถัดมาคือ แล้วคุณควรจะเลือกกองทุนแบบไหนดีล่ะ? การตัดสินใจเลือกลงทุนในกองทุนที่มีหรือไม่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ควรพิจารณาจากแนวโน้มของค่าเงินบาทในอนาคตและความสามารถในการรับความเสี่ยงของนักลงทุนแต่ละบุคคล
ปัจจัย | คำแนะนำในการเลือกกองทุน |
---|---|
แนวโน้มค่าเงินบาท | ถ้าคาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่า ให้เลือก Unhedged Fund |
ความสามารถในการรับความเสี่ยง | ถ้าไม่ชอบความเสี่ยง ให้เลือก Hedged Fund |
ระยะเวลาการลงทุน | ลงทุนระยะยาวอาจพิจารณา Unhedged แต่ระยะสั้นแนะนำ Hedged |
การตัดสินใจนี้ไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่เป็นศิลปะที่ต้องอาศัยทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลและเข้าใจในความต้องการของตนเอง หากคุณไม่มั่นใจในการคาดการณ์ค่าเงิน หรือต้องการความเรียบง่ายในการลงทุน การเลือกกองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยง (Hedged) ก็เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและช่วยให้คุณโฟกัสไปที่ผลตอบแทนของสินทรัพย์หลักได้เต็มที่
กลยุทธ์ Hedging สำหรับนักลงทุนทั่วไป: จากพื้นฐานสู่ขั้นสูง
นอกจากการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินในกองทุนรวมแล้ว การ Hedging ยังสามารถนำมาปรับใช้ได้ในตลาดการเงินทั่วไป เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงในหลากหลายรูปแบบ กลยุทธ์ Hedging มีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การกระจายการลงทุนและการทำอาร์บิทราจ ไปจนถึงการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดทุน สินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อล็อกราคาและลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด
เรามาดูกลยุทธ์หลัก ๆ ที่นักลงทุนสามารถนำไปใช้ได้กันครับ:
๑. การกระจายการลงทุน (Diversification):
- หลักการ: นี่คือกลยุทธ์ Hedging ที่พื้นฐานที่สุดและสำคัญที่สุด นั่นคือการ “ไม่ใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว” การลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท หลายอุตสาหกรรม หรือหลายประเทศที่มีความสัมพันธ์กันน้อย จะช่วยลดความเสี่ยงเฉพาะเจาะจงของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งลงได้
- การทำงาน: หากสินทรัพย์หนึ่งปรับตัวลดลง สินทรัพย์อื่น ๆ อาจยังคงทรงตัวหรือเพิ่มขึ้น ทำให้ผลตอบแทนรวมของพอร์ตการลงทุนมีความผันผวนน้อยลง
- ตัวอย่าง: คุณอาจจะลงทุนทั้งในหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ แทนที่จะลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว
๒. อาร์บิทราจ (Arbitrage):
- หลักการ: เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งแสวงหากำไรจาก “ความไร้ประสิทธิภาพของตลาด” โดยการซื้อสินทรัพย์ในตลาดหนึ่งที่ราคาถูก และขายต่อทันทีในอีกตลาดหนึ่งที่ราคาแพงกว่า เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคาที่มั่นคงและไร้ความเสี่ยง (หรือมีความเสี่ยงน้อยมาก)
- การทำงาน: กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยความเร็วในการดำเนินการและการเข้าถึงข้อมูลตลาดที่ทันท่วงที มักนิยมใช้ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ตลาดฟอเร็กซ์ หรือตลาดหุ้นที่ซื้อขายในหลายกระดาน
- ตัวอย่าง: หุ้นตัวเดียวกันอาจมีราคาซื้อขายต่างกันเล็กน้อยในสองตลาด หรือคู่สกุลเงินหนึ่งมีอัตราแลกเปลี่ยนต่างกันระหว่างสองโบรกเกอร์ คุณก็สามารถทำ Arbitrage ได้
๓. การถัวเฉลี่ยขาลง (Average Down):
- หลักการ: เป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนใช้เมื่อราคาของสินทรัพย์ที่ถืออยู่ลดลง โดยการ “ซื้อเพิ่มในราคาที่ต่ำลง” เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยของสินทรัพย์ทั้งหมดที่คุณถืออยู่
- การทำงาน: หากราคาของสินทรัพย์นั้นกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง คุณก็จะสามารถทำกำไรได้เร็วขึ้น เพราะต้นทุนเฉลี่ยของคุณต่ำลง
- ข้อควรระวัง: กลยุทธ์นี้ควรใช้กับสินทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและคุณมีความเชื่อมั่นในระยะยาวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นการถัวเฉลี่ยขาดทุนไปเรื่อย ๆ ได้
๔. การถือเงินสดบางส่วน (Holding Cash):
- หลักการ: แม้จะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่การเก็บเงินลงทุนบางส่วนไว้ในรูปของ “เงินสด” หรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ก็ถือเป็นการ Hedging รูปแบบหนึ่งเช่นกัน
- การทำงาน: การมีเงินสดในมือทำให้คุณมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน หากตลาดปรับตัวลงอย่างรุนแรง คุณก็จะมีเงินสดพร้อมที่จะเข้าซื้อสินทรัพย์ดี ๆ ในราคาถูกลง หรือใช้เป็นเงินทุนสำรองในกรณีฉุกเฉิน
- ข้อดี: ลดความเสี่ยงจากการขาดทุนในตลาดขาลง และเพิ่มโอกาสในการเข้าซื้อเมื่อมีโอกาส
กลยุทธ์ Hedging | คำอธิบาย |
---|---|
การกระจายการลงทุน | ลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยง |
อาร์บิทราจ | ซื้อสินทรัพย์ราคาถูกแล้วขายแพงในตลาดอื่น |
การถัวเฉลี่ยขาลง | ซื้อสินทรัพย์เพิ่มเมื่อราคาลดลง |
การถือเงินสด | มีเงินสดสำรองเพื่อใช้ในเวลาจำเป็น |
กลยุทธ์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่สามารถนำมาผสมผสานกันได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์และความเชี่ยวชาญของคุณ การเรียนรู้ที่จะประยุกต์ใช้กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยยกระดับการบริหารความเสี่ยงของคุณไปอีกขั้น
เจาะลึกเครื่องมือ Hedging: สัญญาซื้อขายล่วงหน้าและตราสารอนุพันธ์
เมื่อเราพูดถึงการ Hedging ในระดับที่ซับซ้อนขึ้น เราจะหนีไม่พ้นคำว่า “สัญญาซื้อขายล่วงหน้า” (Futures Contracts) และ “ตราสารอนุพันธ์” (Derivatives) ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักที่นักลงทุนสถาบันและนักเทรดมืออาชีพนิยมใช้ในการบริหารความเสี่ยงและทำกำไรจากความผันผวนของตลาด
ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) คืออะไร?
ตราสารอนุพันธ์คือ สัญญาทางการเงินที่มีมูลค่าขึ้นอยู่กับราคาสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) เช่น หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์, อัตราแลกเปลี่ยน หรืออัตราดอกเบี้ย ชื่อ “อนุพันธ์” มาจากคำว่า “อนุพันธ์” ที่หมายถึง “การมาจาก” หรือ “การสืบทอดมา” นั่นเองครับ
เครื่องมือ Hedging ที่สำคัญในกลุ่มตราสารอนุพันธ์ ได้แก่:
๑. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contracts):
- คำอธิบาย: สัญญาซื้อขายล่วงหน้าคือข้อตกลงในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต ณ ราคาที่ตกลงกันไว้ในปัจจุบัน ไม่ว่าราคาตลาดในอนาคตจะเป็นเท่าไรก็ตาม
- การทำงาน: สมมติว่าคุณเป็นเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพด และกังวลว่าราคาข้าวโพดจะตกต่ำในอีก 3 เดือนข้างหน้า คุณสามารถ “ขาย” สัญญา Futures ข้าวโพดล่วงหน้าได้ในวันนี้ เพื่อล็อคราคาขายไว้ หากราคาข้าวโพดตกต่ำจริง ๆ ในอีก 3 เดือน คุณก็จะขาดทุนจากการขายข้าวโพดในตลาดจริง แต่คุณจะได้กำไรจากสัญญา Futures มาชดเชย ทำให้ราคาที่คุณได้รับโดยรวมมั่นคงขึ้น
- บทบาทในการ Hedging: Futures ใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาหุ้น ดัชนี หรืออัตราแลกเปลี่ยน การ Hedging ด้วย Futures มักใช้โดยบริษัทที่ต้องการล็อคต้นทุนวัตถุดิบ หรือนักลงทุนที่ต้องการปกป้องมูลค่าพอร์ตลงทุน
๒. สัญญาออปชัน (Options Contracts):
- คำอธิบาย: สัญญาออปชันให้ “สิทธิ์” แก่ผู้ถือสัญญาในการซื้อ (Call Option) หรือขาย (Put Option) สินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต ณ ราคาที่ตกลงกัน (Strike Price) ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยไม่ “บังคับ” ให้ซื้อหรือขาย
- การทำงาน: หากคุณเป็นเจ้าของหุ้นและกังวลว่าราคาอาจจะร่วงลง คุณสามารถซื้อ “Put Option” ของหุ้นนั้นไว้ได้ หากราคาหุ้นร่วงลงจริง ๆ คุณก็สามารถใช้สิทธิ์ขายหุ้นที่ราคา Strike Price ที่สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน ทำให้คุณลดการขาดทุนได้ แต่หากราคาหุ้นขึ้น คุณก็แค่ปล่อยให้ Option หมดอายุ และขาดทุนแค่ค่าธรรมเนียมการซื้อ Option (Premium)
- บทบาทในการ Hedging: Options เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่นกว่า Futures เพราะให้สิทธิ์แต่ไม่บังคับ คุณจึงสามารถจำกัดความเสี่ยงขาลงได้ ในขณะที่ยังคงมีโอกาสทำกำไรจากขาขึ้น (ในกรณีที่ซื้อ Call Option) หรือจำกัดความเสี่ยงจากการถือหุ้น (ในกรณีที่ซื้อ Put Option)
๓. สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFDs – Contracts for Difference):
- คำอธิบาย: CFD เป็นสัญญาที่ให้คุณเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาของสินทรัพย์อ้างอิง โดยที่คุณไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นจริง ๆ คุณทำกำไรหรือขาดทุนจากส่วนต่างของราคาเข้าและออกเท่านั้น
- การทำงาน: หากคุณเชื่อว่าราคาทองคำจะลดลง คุณสามารถ “ขาย” CFD ทองคำได้ หากราคาทองคำลดลงจริง คุณก็ได้กำไร แต่ถ้าเพิ่มขึ้น คุณก็ขาดทุน
- บทบาทในการ Hedging: CFD สามารถใช้ Hedging ได้ เช่น หากคุณถือหุ้นจริงอยู่ แต่คาดว่าราคาจะลดลงชั่วคราว คุณสามารถ “ขายชอร์ต” CFD ของหุ้นตัวนั้นได้ เพื่อชดเชยการขาดทุนจากหุ้นจริงในระยะสั้น
การใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อ Hedging ต้องการความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องของตลาดและกลยุทธ์ เนื่องจากมีความซับซ้อนและมีเลเวอเรจที่สูง ซึ่งหมายถึงโอกาสในการทำกำไรและขาดทุนที่สูงขึ้นเช่นกัน หากคุณกำลังพิจารณาที่จะใช้เครื่องมืออนุพันธ์เหล่านี้ คุณควรศึกษาให้ถี่ถ้วนหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสมอ
หากคุณกำลังพิจารณาเริ่มทำการซื้อขายสินทรัพย์ที่มีความหลากหลาย รวมถึงการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาหรือสำรวจสินค้าประเภท Contracts for Difference (CFD) ที่หลากหลาย Moneta Markets อาจเป็นแพลตฟอร์มที่คุณควรพิจารณา แพลตฟอร์มนี้มาจากออสเตรเลีย และนำเสนอสินค้าทางการเงินกว่า 1,000 รายการ เหมาะสมทั้งสำหรับนักลงทุนมือใหม่และนักเทรดที่มีประสบการณ์
ประเภทสินทรัพย์ที่สามารถทำ Hedging ได้: ครอบคลุมทุกมิติการลงทุน
การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตลาดใดตลาดหนึ่ง แต่เป็นกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและสามารถนำไปปรับใช้กับสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท เพื่อตอบสนองความต้องการและลักษณะความเสี่ยงของนักลงทุนที่แตกต่างกัน มาดูกันว่าสินทรัพย์ประเภทใดบ้างที่คุณสามารถนำกลยุทธ์ Hedging มาใช้ได้:
๑. ตลาดหุ้น:
- ความเสี่ยงที่ต้องการ Hedging: ความผันผวนของราคาหุ้น, การปรับตัวลงของตลาดโดยรวม
- วิธีการ Hedging:
- ซื้อ Put Option: หากคุณถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งอยู่และกังวลว่าราคาจะตก คุณสามารถซื้อ Put Option ของหุ้นนั้นได้ เพื่อจำกัดการขาดทุนในกรณีที่ราคาหุ้นร่วงลง
- ขาย Short Futures Index: หากคุณถือหุ้นหลายตัวและคาดว่าตลาดโดยรวมจะปรับตัวลง คุณสามารถขาย Short สัญญา Futures ของดัชนีหุ้น (เช่น SET50 Futures ในประเทศไทย) เพื่อชดเชยการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นกับพอร์ตหุ้นของคุณ
- ใช้ CFD: หากคุณมีพอร์ตหุ้นอยู่แล้ว และต้องการป้องกันความเสี่ยงระยะสั้นจากราคาที่คาดว่าจะลดลง คุณสามารถเปิดสถานะขาย (Short Position) CFD ของหุ้นตัวนั้นได้ เพื่อสร้างกำไรมาชดเชยการขาดทุนจากหุ้นจริง
๒. สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities):
- ความเสี่ยงที่ต้องการ Hedging: ความผันผวนของราคาน้ำมัน, ทองคำ, แก๊สธรรมชาติ, สินค้าเกษตร (เช่น ข้าวโพด, ถั่วเหลือง) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตหรือรายได้ของธุรกิจ
- วิธีการ Hedging:
- ใช้ Futures Contract: ผู้ผลิตหรือผู้บริโภคสินค้าโภคภัณฑ์สามารถใช้สัญญา Futures เพื่อล็อคราคาซื้อหรือขายล่วงหน้าได้ ตัวอย่างเช่น สายการบินอาจซื้อ Futures น้ำมันเพื่อล็อคราคาน้ำมันเชื้อเพลิง หรือเกษตรกรอาจขาย Futures ผลผลิตทางการเกษตรเพื่อล็อคราคาขาย
ประเภทสินทรัพย์ | ความเสี่ยงที่ต้องการ Hedging | วิธีการ Hedging |
---|---|---|
ตลาดหุ้น | ความผันผวนราคาหุ้น | ซื้อ Put Option |
สินค้าโภคภัณฑ์ | ความผันผวนราคาน้ำมันและสินค้าเกษตร | ใช้ Futures Contract |
หลักทรัพย์ | ผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย | ใช้ Interest Rate Futures |
คู่เงิน | ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน | ใช้ Forward Contracts |
การทำความเข้าใจว่าสินทรัพย์แต่ละประเภทมีความเสี่ยงแบบใด และเครื่องมือ Hedging ใดที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณสามารถสร้างเกราะป้องกันพอร์ตการลงทุนของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภทและมีความน่าเชื่อถือสำหรับการเทรด การเลือกแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการเทรดด้วย MT4, MT5 และ Pro Trader เช่น Moneta Markets จะช่วยให้คุณเข้าถึงเครื่องมือและสินค้าที่จำเป็นสำหรับการ Hedging ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการดำเนินการที่รวดเร็วและสเปรดต่ำ ทำให้การเทรดของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น
ข้อดีและข้อควรพิจารณาของการ Hedging: ความสมดุลระหว่างการป้องกันและโอกาส
การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็เหมือนกับทุกเครื่องมือทางการเงิน มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่คุณต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การนำไปใช้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่พลาดโอกาสที่สำคัญไป
ข้อดีของการ Hedging:
- ๑. ลดความเสี่ยงในการขาดทุน: นี่คือวัตถุประสงค์หลักของการ Hedging การทำ Hedging ช่วยจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่พึงประสงค์ในตลาด ทำให้คุณสามารถบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีวินัยและมั่นใจยิ่งขึ้น
- ๒. ล็อคราคาหรือผลตอบแทน: ในบางกรณี การ Hedging ช่วยให้คุณสามารถล็อคราคาซื้อหรือราคาขายของสินทรัพย์ในอนาคตได้ เช่น ผู้ผลิตน้ำมันสามารถล็อคราคาขายน้ำมันล่วงหน้าได้ หรือบริษัทนำเข้าสามารถล็อคอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อควบคุมต้นทุน ทำให้สามารถวางแผนธุรกิจได้แม่นยำขึ้น และหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนจากความผันผวนของตลาด
- ๓. สร้างความมั่นคงทางจิตใจ: เมื่อคุณรู้ว่าพอร์ตการลงทุนของคุณมีเกราะป้องกันความเสี่ยงในระดับหนึ่ง คุณจะสามารถลงทุนได้อย่างสบายใจมากขึ้น ไม่ต้องกังวลกับข่าวร้ายหรือความผันผวนรายวันมากเกินไป ช่วยให้คุณสามารถยึดมั่นในแผนการลงทุนระยะยาวได้
- ๔. เพิ่มโอกาสในการตัดสินใจ: การ Hedging ทำให้คุณมีเวลามากขึ้นในการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับสินทรัพย์หลักของคุณ โดยไม่ต้องรีบร้อนขายออกไปในช่วงที่ตลาดผันผวนรุนแรง
- ๕. เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เงินทุน: ในบางกลยุทธ์ การ Hedging สามารถช่วยให้คุณใช้เงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการลดการใช้ Margin หรือการถือครองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่จำเป็น
ข้อดีของ Hedging | คำอธิบาย |
---|---|
ลดความเสี่ยงในการขาดทุน | ช่วยจำกัดการขาดทุนจากการเคลื่อนไหวราคาที่ไม่พึงประสงค์ |
ล็อคราคา | ช่วยล็อคราคาซื้อ-ขายในอนาคตเพื่อการวางแผนธุรกิจ |
สร้างความมั่นคง | ช่วยลดความวิตกกังวลกับความผันผวนในตลาด |
เพิ่มโอกาสการตัดสินใจ | ทำให้มีเวลาตัดสินใจอย่างไม่ต้องรีบเร่ง |
เพิ่มประสิทธิภาพเงินทุน | ช่วยลดการใช้ Margin และสภาพคล่อง |
ข้อควรพิจารณาของการ Hedging (ข้อเสีย/ข้อจำกัด):
- ๑. ต้องการความเชี่ยวชาญและทักษะ: การใช้เครื่องมือ Hedging ที่ซับซ้อน เช่น สัญญา Futures, Options หรือ Swaps ต้องการความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ตลาด และกลยุทธ์การเทรด หากคุณไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ การ Hedging อาจกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงแทนที่จะลดความเสี่ยง
- ๒. มีต้นทุน: การทำ Hedging มักมีต้นทุนที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ค่าคอมมิชชั่น หรือค่าพรีเมียม (สำหรับ Options) ต้นทุนเหล่านี้อาจลดทอนผลตอบแทนโดยรวมของคุณได้ หากคุณ Hedging มากเกินไปหรือใช้เครื่องมือที่ไม่เหมาะสม
- ๓. อาจพลาดโอกาสทำกำไรจากความผันผวน: แม้ว่าการ Hedging จะช่วยลดความเสี่ยงขาลง แต่ก็หมายความว่าคุณอาจพลาดโอกาสในการทำกำไรสูงสุดหากตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นบวกอย่างไม่คาดคิด การจำกัดความเสี่ยงก็คือการจำกัดโอกาสในการทำกำไรด้วยเช่นกัน
- ๔. ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงทั้งหมด: การ Hedging เป็นการลดความเสี่ยง แต่ไม่สามารถขจัดความเสี่ยงทั้งหมดได้เสมอไป ยังคงมีความเสี่ยงประเภทอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง หรือความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน (Black Swan events) ที่ไม่สามารถป้องกันได้ด้วยเครื่องมือทั่วไป
- ๕. ความซับซ้อนในการบริหารจัดการ: การ Hedging พอร์ตการลงทุนที่ซับซ้อนต้องการการติดตามและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเป้าหมายการลงทุนของคุณ
ข้อเสียของ Hedging | คำอธิบาย |
---|---|
ต้องการความเชี่ยวชาญ | การใช้เครื่องมือซับซ้อนต้องการความรู้ลึกซึ้ง |
มีต้นทุนสูง | มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายมากมาย |
พลาดโอกาสกำไร | อาจไม่สามารถทำกำไรสูงสุดหากตลาดเคลื่อนไหวดี |
ไม่ครอบคลุมทุกความเสี่ยง | ยังมีความเสี่ยงที่ไม่สามารถป้องกันได้ |
ซับซ้อนในการบริหาร | ต้องมีการติดตามและปรับแก้กลยุทธ์ |
ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะ Hedging หรือไม่ และจะ Hedging อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ในการลดความเสี่ยง กับต้นทุนและโอกาสที่อาจเสียไป คุณต้องมีความเข้าใจในตนเองและตลาดอย่างลึกซึ้ง เพื่อหาสมดุลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแผนการลงทุนของคุณ
สร้างแผนการ Hedging ของคุณ: ก้าวแรกสู่การเป็นนักลงทุนมืออาชีพ
หลังจากที่เราได้เรียนรู้ถึงแก่นแท้, ความสำคัญ, การประยุกต์ใช้ในกองทุนรวม, กลยุทธ์, เครื่องมือ, ประเภทสินทรัพย์, และข้อดีข้อเสียของการ Hedging ไปแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะมาดูกันว่า คุณจะสามารถเริ่มต้นสร้างแผนการป้องกันความเสี่ยงของตัวเองได้อย่างไร เพื่อก้าวสู่การเป็นนักลงทุนที่มีความเข้าใจและบริหารจัดการพอร์ตได้อย่างมืออาชีพ
ขั้นตอนที่ 1: ประเมินความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนของคุณ
- ทำความเข้าใจสินทรัพย์ของคุณ: คุณกำลังถือสินทรัพย์ประเภทใดอยู่บ้าง (หุ้น, พันธบัตร, กองทุนรวม, สินค้าโภคภัณฑ์) แต่ละสินทรัพย์มีความเสี่ยงเฉพาะตัวอย่างไรบ้าง?
- ระบุความเสี่ยงที่คุณต้องการป้องกัน: คุณกังวลเรื่องอะไรมากที่สุด? ความผันผวนของราคาหุ้น? การแข็งค่าของเงินบาท? การขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ย? การระบุความเสี่ยงที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณเลือกเครื่องมือ Hedging ได้ถูกต้อง
- กำหนดเป้าหมายการ Hedging: คุณต้องการลดความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน? ต้องการล็อคกำไร? หรือเพียงแค่ต้องการลดความผันผวนของพอร์ต? การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยกำหนดระดับการ Hedging ที่เหมาะสม
ขั้นตอนที่ 2: ศึกษาและเลือกเครื่องมือ Hedging ที่เหมาะสม
- พิจารณาความซับซ้อน: สำหรับนักลงทุนมือใหม่ การเริ่มต้นด้วยกลยุทธ์ที่เรียบง่าย เช่น การกระจายการลงทุน หรือการถือเงินสดบางส่วน จะเป็นการเริ่มต้นที่ดี
- สำรวจเครื่องมือขั้นสูง: หากคุณมีประสบการณ์และเข้าใจตลาดมากขึ้น คุณอาจสำรวจการใช้ Futures, Options หรือ CFDs ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพแต่ก็มีความซับซ้อนสูง
- ต้นทุนและสภาพคล่อง: พิจารณาต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือ Hedging แต่ละประเภท และสภาพคล่องของตลาดที่คุณจะเข้าทำธุรกรรม
ขั้นตอนที่ 3: กำหนดกลยุทธ์และดำเนินการ
- กำหนดขนาดการ Hedging: คุณจะป้องกันความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน? จะ Hedging เต็มจำนวน (Full Hedge) หรือเพียงบางส่วน (Partial Hedge)?
- วางแผนเข้าและออก: คุณจะเข้าทำสัญญา Hedging เมื่อใด และจะปิดสัญญาเมื่อใด? กำหนดจุดทำกำไรและจุดตัดขาดทุน (Stop-loss) ที่ชัดเจน
- ดำเนินการ: ใช้แพลตฟอร์มการซื้อขายที่คุณคุ้นเคยและน่าเชื่อถือเพื่อดำเนินการตามแผนที่วางไว้
ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบและปรับเปลี่ยนแผนอย่างสม่ำเสมอ
- ติดตามตลาด: สภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คุณต้องติดตามข่าวสารและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ของคุณและกลยุทธ์ Hedging ที่ใช้
- ประเมินผล: การ Hedging ของคุณมีประสิทธิภาพตามที่คาดไว้หรือไม่? มีอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไข?
- ปรับเปลี่ยนแผน: หากสถานการณ์เปลี่ยนไป หรือแผนเดิมไม่เหมาะสม คุณต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ Hedging ของคุณ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันอยู่เสมอ
การสร้างแผนการ Hedging ไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องอาศัยการเรียนรู้ การปรับตัว และการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ แต่เมื่อคุณเชี่ยวชาญแล้ว มันจะเป็นทักษะอันทรงพลังที่ช่วยให้คุณสามารถนำทางในตลาดการเงินได้อย่างมั่นใจและชาญฉลาด
หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มการเทรดที่รองรับการใช้งานหลากหลายและมีมาตรฐานสากลเพื่อใช้ในการวางแผน Hedging ของคุณ Moneta Markets ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ มันเป็นแพลตฟอร์มที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากหลายหน่วยงาน เช่น FSCA, ASIC และ FSA ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของเงินทุนของคุณ นอกจากนี้ยังมีบริการเสริม เช่น VPS ฟรีและบริการลูกค้าสัมพันธ์ภาษาไทยตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการเทรดของคุณเป็นอย่างมาก
บทสรุป: Hedging กุญแจสู่การลงทุนอย่างมั่นใจ
ตลอดบทความนี้ เราได้เดินทางสำรวจโลกของการ “ป้องกันความเสี่ยง” (Hedging) อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมายพื้นฐานที่ไม่ได้มุ่งเน้นการทำกำไรสูงสุด แต่เป็นการปกป้องเงินลงทุน ไปจนถึงการประยุกต์ใช้ในบริบทของกองทุนรวมต่างประเทศ การทำความเข้าใจความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน และการเลือกนโยบาย Hedging ที่เหมาะสมกับคุณ
เราได้เจาะลึกถึงกลยุทธ์ Hedging ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการกระจายการลงทุนอันเป็นพื้นฐานสำคัญ การทำอาร์บิทราจที่ซับซ้อนขึ้น ไปจนถึงการถัวเฉลี่ยขาลง และการถือเงินสดเพื่อความยืดหยุ่น นอกจากนี้ เรายังได้ทำความรู้จักกับเครื่องมือ Hedging ที่ทรงพลังอย่างสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) และตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันความเสี่ยงในตลาดการเงินยุคใหม่
คุณได้เห็นแล้วว่าการ Hedging สามารถนำมาปรับใช้ได้กับสินทรัพย์เกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ตราสารหนี้ คู่เงิน หรือแม้แต่ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและศักยภาพของกลยุทธ์นี้ในการสร้างเกราะป้องกันให้กับพอร์ตการลงทุนของคุณ
สิ่งสำคัญที่สุดคือ การ Hedging ไม่ได้เป็นเพียงแค่เทคนิคทางการเงินที่ซับซ้อน แต่มันคือ “ปรัชญาการลงทุน” ที่มุ่งเน้นการ “บริหารจัดการความเสี่ยง” เป็นอันดับแรก ก่อนที่จะแสวงหาผลตอบแทนสูงสุด การป้องกันความเสี่ยงอย่างชาญฉลาดจะช่วยให้คุณรอดพ้นจากช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน และรักษาเงินทุนของคุณไว้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเติบโตของการลงทุนในระยะยาว
ในฐานะนักลงทุน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือนักเทรดที่มีประสบการณ์ที่ต้องการยกระดับความรู้ การทำความเข้าใจและการประยุกต์ใช้การ Hedging อย่างถูกวิธี จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนของตลาดได้อย่างมั่นใจ และก้าวไปข้างหน้าสู่การบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่คุณตั้งไว้ ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุน!
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับhedging คือ
Q:Hedging คืออะไร?
A:Hedging เป็นกลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของตลาด
Q:ทำไมต้องใช้ Hedging?
A:การใช้ Hedging ช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุน รักษากำไรที่ทำไว้ และสร้างความมั่นใจในการลงทุน
Q:มีวิธีการ Hedging แบบไหนบ้าง?
A:วิธีการ Hedging มีหลากหลาย เช่น การกระจายการลงทุน การใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) หรือการใช้สัญญาออปชัน (Options)