hedging คือ กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงที่สำคัญในปี 2025

ทำความเข้าใจ Hedging: แก่นแท้ของการป้องกันความเสี่ยง

ในโลกของการลงทุนที่เต็มไปด้วยความผันผวนและไม่แน่นอน คุณเคยสงสัยไหมว่านักลงทุนมืออาชีพหรือแม้แต่บริษัทใหญ่ ๆ เขามีวิธีบริหารจัดการความเสี่ยงเหล่านี้อย่างไร? คำตอบหนึ่งที่สำคัญคือการใช้กลยุทธ์ที่เรียกว่า “การป้องกันความเสี่ยง” หรือ Hedging นั่นเองครับ

บ่อยครั้งเมื่อเราพูดถึงการลงทุน เรามักจะนึกถึงแต่เรื่องของ “กำไร” และ “ผลตอบแทนสูงสุด” แต่ในความเป็นจริงแล้ว การบริหารจัดการความเสี่ยงคือหัวใจสำคัญที่ทำให้การลงทุนของคุณยั่งยืนและมั่นคง การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ไม่ได้มีเป้าหมายเพื่อสร้างผลกำไรที่สูงขึ้นโดยตรง แต่เป็นกลยุทธ์สำคัญในการใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของตลาดที่ไม่พึงประสงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง

ลองจินตนาการถึงการขับรถบนถนนที่อาจมีสิ่งกีดขวางอยู่ข้างหน้า คุณคงไม่อยากขับรถโดยไม่มีเบรกหรือถุงลมนิรภัยใช่ไหมครับ? การ Hedging ก็เปรียบเสมือน “ระบบความปลอดภัย” ในพอร์ตการลงทุนของคุณ มันคือการที่คุณยอมจ่าย “เบี้ยประกัน” เล็กน้อย เพื่อปกป้องสินทรัพย์หลักของคุณจากการขาดทุนมหาศาลที่อาจเกิดขึ้น

พูดให้เข้าใจง่ายที่สุด การ Hedging คือการ “วางเดิมพันตรงกันข้าม” กับการลงทุนหลักของคุณ เพื่อชดเชยความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คุณคาดหวัง สมมติว่าคุณถือหุ้นของบริษัทแห่งหนึ่งและกังวลว่าราคาอาจจะร่วงลงในอนาคตอันใกล้ คุณอาจจะใช้กลยุทธ์ Hedging ด้วยการซื้อ “สัญญาขายล่วงหน้า” ของหุ้นตัวนั้นไว้ หากราคาหุ้นร่วงลงจริง ๆ แม้คุณจะขาดทุนจากการถือหุ้น แต่คุณก็จะได้กำไรจากสัญญาขายล่วงหน้ามาช่วยชดเชย ทำให้การขาดทุนโดยรวมของคุณลดลง

สิ่งสำคัญที่คุณต้องจำไว้คือ Hedging ไม่ใช่การแสวงหากำไรสูงสุด แต่เป็นการ “รักษาเงินทุน” และ “จำกัดการขาดทุน” หากคุณสามารถลดความเสี่ยงได้ดี คุณก็จะมีโอกาสรอดในตลาดระยะยาว และมีสภาพคล่องเหลือพอที่จะคว้าโอกาสเมื่อมันมาถึง

ภาพการอธิบายกลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงในด้านการเงิน

ทำไม Hedging จึงสำคัญ: บทบาทในการลงทุนระยะยาว

ทำไมเราจึงต้องให้ความสำคัญกับการป้องกันความเสี่ยงมากขนาดนี้ ในเมื่อการลงทุนคือการยอมรับความเสี่ยงเพื่อผลตอบแทนที่สูงขึ้น? คำตอบคือ ตลาดการเงินนั้นมีความผันผวนและไม่แน่นอนอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยทางเศรษฐกิจ การเมือง หรือแม้แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันทั่วโลก ล้วนส่งผลกระทบต่อมูลค่าการลงทุนของเราได้ทั้งสิ้น การมีกลไกป้องกันความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อความอยู่รอดและความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว

สำหรับนักลงทุนมือใหม่ การทำความเข้าใจ Hedging อาจจะดูซับซ้อนในตอนแรก แต่เมื่อคุณเห็นภาพรวมแล้ว คุณจะพบว่ามันคือรากฐานสำคัญของการลงทุนอย่างมีวินัย การ Hedging ช่วยให้คุณสามารถ:

  • ลดความผันผวนของพอร์ตการลงทุน: ตลาดหุ้นหรือสินทรัพย์อื่น ๆ สามารถขึ้นลงได้รวดเร็วราวกับรถไฟเหาะ การ Hedging จะช่วยลดแรงกระแทกเมื่อตลาดปรับตัวลงอย่างรุนแรง ทำให้พอร์ตของคุณมีความเสถียรมากขึ้น
  • ปกป้องกำไรที่ทำมาได้: หากคุณได้กำไรจากการลงทุนมาพอสมควรแล้ว แต่ยังไม่อยากขายสินทรัพย์ออกไป การ Hedging สามารถช่วยล็อคกำไรเหล่านั้นไว้ได้ เหมือนกับการที่คุณซื้อประกันให้กับสิ่งของมีค่า เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะไม่สูญเสียมันไป
  • สร้างความอุ่นใจในการลงทุน: เมื่อคุณรู้ว่าพอร์ตของคุณมีเกราะป้องกันความเสี่ยงในระดับหนึ่ง คุณก็จะสามารถลงทุนได้อย่างสบายใจมากขึ้น ไม่ต้องคอยกังวลกับการเคลื่อนไหวของตลาดในทุก ๆ วัน
  • รักษาสภาพคล่อง: การขาดทุนจำนวนมากอาจทำให้คุณต้องถอนเงินออกจากตลาดในเวลาที่ไม่เหมาะสม การ Hedging ช่วยให้คุณไม่ต้องเผชิญสถานการณ์นั้น ทำให้คุณมีเงินทุนพร้อมสำหรับโอกาสใหม่ ๆ เสมอ
ประโยชน์ของ Hedging คำอธิบาย
ลดความผันผวน ช่วยลดแรงกระแทกเมื่อตลาดปรับตัวลง
ปกป้องกำไร ล็อคกำไรที่ทำมาได้โดยไม่ต้องขาย
สร้างความอุ่นใจ ลงทุนได้อย่างสบายใจไม่ต้องกังวล
รักษาสภาพคล่อง ไม่ต้องถอนเงินในเวลาที่ไม่เหมาะสม

ดังนั้น การเรียนรู้และประยุกต์ใช้การ Hedging จึงไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิค แต่เป็นเรื่องของ “ปรัชญาการลงทุน” ที่เน้นการบริหารจัดการความเสี่ยงก่อนที่จะคิดถึงเรื่องของผลกำไรสูงสุด เพราะการรักษาเงินต้นไว้ได้คือหัวใจสำคัญของการอยู่รอดในระยะยาว

Hedging ในบริบทกองทุนรวม: จัดการความเสี่ยงค่าเงิน

มาดูกันว่าการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) มีบทบาทอย่างไรในผลิตภัณฑ์การลงทุนที่คุณอาจคุ้นเคยอย่าง กองทุนรวม โดยเฉพาะกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ สำหรับกองทุนประเภทนี้ สิ่งที่นักลงทุนต้องเผชิญนอกเหนือจากความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่ลงทุนโดยตรงแล้ว ก็คือ ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน นั่นเองครับ

ลองนึกภาพว่าคุณลงทุนในกองทุนหุ้นจีนที่อยู่ในสกุลเงินหยวน ถ้าค่าเงินหยวนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินบาทไทย นั่นหมายความว่าเงินลงทุนของคุณจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาท แต่ถ้าค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง แม้หุ้นจีนที่คุณลงทุนจะทำกำไรได้ดี แต่เมื่อแปลงกลับเป็นเงินบาท คุณก็อาจจะขาดทุนได้ เพราะค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั่นเอง

ภาพการแสดงผลของเทคนิคการจัดการความเสี่ยง

นี่คือจุดที่ นโยบายการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedging Policy) ของกองทุนรวมต่างประเทศเข้ามามีบทบาท สำหรับกองทุนที่ลงทุนในต่างประเทศ นโยบายการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedging Policy) เป็นปัจจัยสำคัญที่นักลงทุนควรพิจารณา เนื่องจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทโดยตรงต่อผลตอบแทนของกองทุน

กองทุนรวมต่างประเทศส่วนใหญ่จะระบุนโยบายค่าเงินไว้ใน หนังสือชี้ชวน อย่างชัดเจนว่ามีการป้องกันความเสี่ยงบางส่วน (Partial Hedge) หรือทั้งหมด (Full Hedge) หรือไม่มีการป้องกันความเสี่ยงเลย (Unhedged) ซึ่งแต่ละนโยบายก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป:

  • กองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Hedged Fund): กองทุนประเภทนี้จะใช้เครื่องมือทางการเงิน เช่น สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) หรือตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) เพื่อล็อคอัตราแลกเปลี่ยนไว้ล่วงหน้า ทำให้ผลตอบแทนของนักลงทุนไม่ได้ขึ้นอยู่กับความผันผวนของค่าเงินบาท ข้อดีคือ คุณไม่ต้องกังวลว่าเงินบาทจะแข็งค่าจนทำให้กำไรหายไป แต่ข้อเสียคือ คุณก็จะเสียโอกาสในการทำกำไรเพิ่มหากเงินบาทอ่อนค่าลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อกองทุนที่ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน
  • กองทุนที่ไม่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน (Unhedged Fund): กองทุนประเภทนี้จะปล่อยให้ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินโดยตรง หากเงินบาทอ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศที่คุณลงทุน กองทุนก็จะยิ่งได้กำไรมากขึ้น (จากผลของค่าเงิน) แต่ถ้าเงินบาทแข็งค่า กองทุนก็อาจจะขาดทุนได้แม้สินทรัพย์หลักจะทำกำไรก็ตาม
ประเภทกองทุน วิธีการป้องกันความเสี่ยง ข้อดี ข้อเสีย
Hedged Fund ใช้ Futures และ Derivatives ไม่ต้องกังวลการเคลื่อนไหวเงินบาท เสียโอกาสเมื่อเงินบาทอ่อนค่า
Unhedged Fund ไม่มีการป้องกันความเสี่ยง ได้กำไรเมื่อเงินบาทอ่อนค่า ขาดทุนได้หากเงินบาทแข็งค่า

ดังนั้น ก่อนการลงทุนในกองทุนรวมต่างประเทศ การตรวจสอบนโยบายการ Hedging ค่าเงินจึงเป็นสิ่งที่คุณไม่ควรมองข้าม เพราะมันส่งผลโดยตรงต่อผลตอบแทนสุดท้ายที่คุณจะได้รับ

ปัจจัยในการตัดสินใจ: เลือกกองทุนที่มีหรือไม่มี Hedging ดี?

เมื่อคุณเข้าใจแล้วว่ากองทุนรวมต่างประเทศมีนโยบายการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินที่แตกต่างกัน คำถามถัดมาคือ แล้วคุณควรจะเลือกกองทุนแบบไหนดีล่ะ? การตัดสินใจเลือกลงทุนในกองทุนที่มีหรือไม่มีการป้องกันความเสี่ยงค่าเงิน ควรพิจารณาจากแนวโน้มของค่าเงินบาทในอนาคตและความสามารถในการรับความเสี่ยงของนักลงทุนแต่ละบุคคล

ปัจจัย คำแนะนำในการเลือกกองทุน
แนวโน้มค่าเงินบาท ถ้าคาดว่าเงินบาทจะอ่อนค่า ให้เลือก Unhedged Fund
ความสามารถในการรับความเสี่ยง ถ้าไม่ชอบความเสี่ยง ให้เลือก Hedged Fund
ระยะเวลาการลงทุน ลงทุนระยะยาวอาจพิจารณา Unhedged แต่ระยะสั้นแนะนำ Hedged

การตัดสินใจนี้ไม่ได้มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่เป็นศิลปะที่ต้องอาศัยทั้งการวิเคราะห์ข้อมูลและเข้าใจในความต้องการของตนเอง หากคุณไม่มั่นใจในการคาดการณ์ค่าเงิน หรือต้องการความเรียบง่ายในการลงทุน การเลือกกองทุนที่มีการป้องกันความเสี่ยง (Hedged) ก็เป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและช่วยให้คุณโฟกัสไปที่ผลตอบแทนของสินทรัพย์หลักได้เต็มที่

กลยุทธ์ Hedging สำหรับนักลงทุนทั่วไป: จากพื้นฐานสู่ขั้นสูง

นอกจากการป้องกันความเสี่ยงค่าเงินในกองทุนรวมแล้ว การ Hedging ยังสามารถนำมาปรับใช้ได้ในตลาดการเงินทั่วไป เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงในหลากหลายรูปแบบ กลยุทธ์ Hedging มีหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การกระจายการลงทุนและการทำอาร์บิทราจ ไปจนถึงการใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้าในตลาดทุน สินค้าโภคภัณฑ์ และตลาดอัตราแลกเปลี่ยน เพื่อล็อกราคาและลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด

เรามาดูกลยุทธ์หลัก ๆ ที่นักลงทุนสามารถนำไปใช้ได้กันครับ:

๑. การกระจายการลงทุน (Diversification):

  • หลักการ: นี่คือกลยุทธ์ Hedging ที่พื้นฐานที่สุดและสำคัญที่สุด นั่นคือการ “ไม่ใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว” การลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท หลายอุตสาหกรรม หรือหลายประเทศที่มีความสัมพันธ์กันน้อย จะช่วยลดความเสี่ยงเฉพาะเจาะจงของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งลงได้
  • การทำงาน: หากสินทรัพย์หนึ่งปรับตัวลดลง สินทรัพย์อื่น ๆ อาจยังคงทรงตัวหรือเพิ่มขึ้น ทำให้ผลตอบแทนรวมของพอร์ตการลงทุนมีความผันผวนน้อยลง
  • ตัวอย่าง: คุณอาจจะลงทุนทั้งในหุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ แทนที่จะลงทุนในหุ้นเพียงอย่างเดียว

๒. อาร์บิทราจ (Arbitrage):

  • หลักการ: เป็นกลยุทธ์ที่มุ่งแสวงหากำไรจาก “ความไร้ประสิทธิภาพของตลาด” โดยการซื้อสินทรัพย์ในตลาดหนึ่งที่ราคาถูก และขายต่อทันทีในอีกตลาดหนึ่งที่ราคาแพงกว่า เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างราคาที่มั่นคงและไร้ความเสี่ยง (หรือมีความเสี่ยงน้อยมาก)
  • การทำงาน: กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยความเร็วในการดำเนินการและการเข้าถึงข้อมูลตลาดที่ทันท่วงที มักนิยมใช้ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ตลาดฟอเร็กซ์ หรือตลาดหุ้นที่ซื้อขายในหลายกระดาน
  • ตัวอย่าง: หุ้นตัวเดียวกันอาจมีราคาซื้อขายต่างกันเล็กน้อยในสองตลาด หรือคู่สกุลเงินหนึ่งมีอัตราแลกเปลี่ยนต่างกันระหว่างสองโบรกเกอร์ คุณก็สามารถทำ Arbitrage ได้

๓. การถัวเฉลี่ยขาลง (Average Down):

  • หลักการ: เป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนใช้เมื่อราคาของสินทรัพย์ที่ถืออยู่ลดลง โดยการ “ซื้อเพิ่มในราคาที่ต่ำลง” เพื่อลดต้นทุนเฉลี่ยต่อหน่วยของสินทรัพย์ทั้งหมดที่คุณถืออยู่
  • การทำงาน: หากราคาของสินทรัพย์นั้นกลับมาปรับตัวขึ้นอีกครั้ง คุณก็จะสามารถทำกำไรได้เร็วขึ้น เพราะต้นทุนเฉลี่ยของคุณต่ำลง
  • ข้อควรระวัง: กลยุทธ์นี้ควรใช้กับสินทรัพย์ที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและคุณมีความเชื่อมั่นในระยะยาวเท่านั้น ไม่เช่นนั้นอาจกลายเป็นการถัวเฉลี่ยขาดทุนไปเรื่อย ๆ ได้

๔. การถือเงินสดบางส่วน (Holding Cash):

  • หลักการ: แม้จะดูเป็นเรื่องธรรมดา แต่การเก็บเงินลงทุนบางส่วนไว้ในรูปของ “เงินสด” หรือสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง ก็ถือเป็นการ Hedging รูปแบบหนึ่งเช่นกัน
  • การทำงาน: การมีเงินสดในมือทำให้คุณมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน หากตลาดปรับตัวลงอย่างรุนแรง คุณก็จะมีเงินสดพร้อมที่จะเข้าซื้อสินทรัพย์ดี ๆ ในราคาถูกลง หรือใช้เป็นเงินทุนสำรองในกรณีฉุกเฉิน
  • ข้อดี: ลดความเสี่ยงจากการขาดทุนในตลาดขาลง และเพิ่มโอกาสในการเข้าซื้อเมื่อมีโอกาส
กลยุทธ์ Hedging คำอธิบาย
การกระจายการลงทุน ลงทุนในหลากหลายสินทรัพย์เพื่อลดความเสี่ยง
อาร์บิทราจ ซื้อสินทรัพย์ราคาถูกแล้วขายแพงในตลาดอื่น
การถัวเฉลี่ยขาลง ซื้อสินทรัพย์เพิ่มเมื่อราคาลดลง
การถือเงินสด มีเงินสดสำรองเพื่อใช้ในเวลาจำเป็น

กลยุทธ์เหล่านี้ไม่จำเป็นต้องใช้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่สามารถนำมาผสมผสานกันได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์และความเชี่ยวชาญของคุณ การเรียนรู้ที่จะประยุกต์ใช้กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยยกระดับการบริหารความเสี่ยงของคุณไปอีกขั้น

เจาะลึกเครื่องมือ Hedging: สัญญาซื้อขายล่วงหน้าและตราสารอนุพันธ์

เมื่อเราพูดถึงการ Hedging ในระดับที่ซับซ้อนขึ้น เราจะหนีไม่พ้นคำว่า “สัญญาซื้อขายล่วงหน้า” (Futures Contracts) และ “ตราสารอนุพันธ์” (Derivatives) ซึ่งเป็นเครื่องมือหลักที่นักลงทุนสถาบันและนักเทรดมืออาชีพนิยมใช้ในการบริหารความเสี่ยงและทำกำไรจากความผันผวนของตลาด

ตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) คืออะไร?

ตราสารอนุพันธ์คือ สัญญาทางการเงินที่มีมูลค่าขึ้นอยู่กับราคาสินทรัพย์อ้างอิง (Underlying Asset) เช่น หุ้น, ดัชนี, สินค้าโภคภัณฑ์, อัตราแลกเปลี่ยน หรืออัตราดอกเบี้ย ชื่อ “อนุพันธ์” มาจากคำว่า “อนุพันธ์” ที่หมายถึง “การมาจาก” หรือ “การสืบทอดมา” นั่นเองครับ

เครื่องมือ Hedging ที่สำคัญในกลุ่มตราสารอนุพันธ์ ได้แก่:

๑. สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures Contracts):

  • คำอธิบาย: สัญญาซื้อขายล่วงหน้าคือข้อตกลงในการซื้อหรือขายสินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต ณ ราคาที่ตกลงกันไว้ในปัจจุบัน ไม่ว่าราคาตลาดในอนาคตจะเป็นเท่าไรก็ตาม
  • การทำงาน: สมมติว่าคุณเป็นเกษตรกรที่ปลูกข้าวโพด และกังวลว่าราคาข้าวโพดจะตกต่ำในอีก 3 เดือนข้างหน้า คุณสามารถ “ขาย” สัญญา Futures ข้าวโพดล่วงหน้าได้ในวันนี้ เพื่อล็อคราคาขายไว้ หากราคาข้าวโพดตกต่ำจริง ๆ ในอีก 3 เดือน คุณก็จะขาดทุนจากการขายข้าวโพดในตลาดจริง แต่คุณจะได้กำไรจากสัญญา Futures มาชดเชย ทำให้ราคาที่คุณได้รับโดยรวมมั่นคงขึ้น
  • บทบาทในการ Hedging: Futures ใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ราคาหุ้น ดัชนี หรืออัตราแลกเปลี่ยน การ Hedging ด้วย Futures มักใช้โดยบริษัทที่ต้องการล็อคต้นทุนวัตถุดิบ หรือนักลงทุนที่ต้องการปกป้องมูลค่าพอร์ตลงทุน

ภาพการแสดงสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและตราสารอนุพันธ์

๒. สัญญาออปชัน (Options Contracts):

  • คำอธิบาย: สัญญาออปชันให้ “สิทธิ์” แก่ผู้ถือสัญญาในการซื้อ (Call Option) หรือขาย (Put Option) สินทรัพย์อ้างอิงในอนาคต ณ ราคาที่ตกลงกัน (Strike Price) ภายในระยะเวลาที่กำหนด โดยไม่ “บังคับ” ให้ซื้อหรือขาย
  • การทำงาน: หากคุณเป็นเจ้าของหุ้นและกังวลว่าราคาอาจจะร่วงลง คุณสามารถซื้อ “Put Option” ของหุ้นนั้นไว้ได้ หากราคาหุ้นร่วงลงจริง ๆ คุณก็สามารถใช้สิทธิ์ขายหุ้นที่ราคา Strike Price ที่สูงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน ทำให้คุณลดการขาดทุนได้ แต่หากราคาหุ้นขึ้น คุณก็แค่ปล่อยให้ Option หมดอายุ และขาดทุนแค่ค่าธรรมเนียมการซื้อ Option (Premium)
  • บทบาทในการ Hedging: Options เป็นเครื่องมือที่ยืดหยุ่นกว่า Futures เพราะให้สิทธิ์แต่ไม่บังคับ คุณจึงสามารถจำกัดความเสี่ยงขาลงได้ ในขณะที่ยังคงมีโอกาสทำกำไรจากขาขึ้น (ในกรณีที่ซื้อ Call Option) หรือจำกัดความเสี่ยงจากการถือหุ้น (ในกรณีที่ซื้อ Put Option)

๓. สัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFDs – Contracts for Difference):

  • คำอธิบาย: CFD เป็นสัญญาที่ให้คุณเก็งกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาของสินทรัพย์อ้างอิง โดยที่คุณไม่ต้องเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นจริง ๆ คุณทำกำไรหรือขาดทุนจากส่วนต่างของราคาเข้าและออกเท่านั้น
  • การทำงาน: หากคุณเชื่อว่าราคาทองคำจะลดลง คุณสามารถ “ขาย” CFD ทองคำได้ หากราคาทองคำลดลงจริง คุณก็ได้กำไร แต่ถ้าเพิ่มขึ้น คุณก็ขาดทุน
  • บทบาทในการ Hedging: CFD สามารถใช้ Hedging ได้ เช่น หากคุณถือหุ้นจริงอยู่ แต่คาดว่าราคาจะลดลงชั่วคราว คุณสามารถ “ขายชอร์ต” CFD ของหุ้นตัวนั้นได้ เพื่อชดเชยการขาดทุนจากหุ้นจริงในระยะสั้น

การใช้เครื่องมือเหล่านี้เพื่อ Hedging ต้องการความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในเรื่องของตลาดและกลยุทธ์ เนื่องจากมีความซับซ้อนและมีเลเวอเรจที่สูง ซึ่งหมายถึงโอกาสในการทำกำไรและขาดทุนที่สูงขึ้นเช่นกัน หากคุณกำลังพิจารณาที่จะใช้เครื่องมืออนุพันธ์เหล่านี้ คุณควรศึกษาให้ถี่ถ้วนหรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสมอ

หากคุณกำลังพิจารณาเริ่มทำการซื้อขายสินทรัพย์ที่มีความหลากหลาย รวมถึงการเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาหรือสำรวจสินค้าประเภท Contracts for Difference (CFD) ที่หลากหลาย Moneta Markets อาจเป็นแพลตฟอร์มที่คุณควรพิจารณา แพลตฟอร์มนี้มาจากออสเตรเลีย และนำเสนอสินค้าทางการเงินกว่า 1,000 รายการ เหมาะสมทั้งสำหรับนักลงทุนมือใหม่และนักเทรดที่มีประสบการณ์

ประเภทสินทรัพย์ที่สามารถทำ Hedging ได้: ครอบคลุมทุกมิติการลงทุน

การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในตลาดใดตลาดหนึ่ง แต่เป็นกลยุทธ์ที่ยืดหยุ่นและสามารถนำไปปรับใช้กับสินทรัพย์ได้หลากหลายประเภท เพื่อตอบสนองความต้องการและลักษณะความเสี่ยงของนักลงทุนที่แตกต่างกัน มาดูกันว่าสินทรัพย์ประเภทใดบ้างที่คุณสามารถนำกลยุทธ์ Hedging มาใช้ได้:

๑. ตลาดหุ้น:

  • ความเสี่ยงที่ต้องการ Hedging: ความผันผวนของราคาหุ้น, การปรับตัวลงของตลาดโดยรวม
  • วิธีการ Hedging:
    • ซื้อ Put Option: หากคุณถือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งอยู่และกังวลว่าราคาจะตก คุณสามารถซื้อ Put Option ของหุ้นนั้นได้ เพื่อจำกัดการขาดทุนในกรณีที่ราคาหุ้นร่วงลง
    • ขาย Short Futures Index: หากคุณถือหุ้นหลายตัวและคาดว่าตลาดโดยรวมจะปรับตัวลง คุณสามารถขาย Short สัญญา Futures ของดัชนีหุ้น (เช่น SET50 Futures ในประเทศไทย) เพื่อชดเชยการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นกับพอร์ตหุ้นของคุณ
    • ใช้ CFD: หากคุณมีพอร์ตหุ้นอยู่แล้ว และต้องการป้องกันความเสี่ยงระยะสั้นจากราคาที่คาดว่าจะลดลง คุณสามารถเปิดสถานะขาย (Short Position) CFD ของหุ้นตัวนั้นได้ เพื่อสร้างกำไรมาชดเชยการขาดทุนจากหุ้นจริง

๒. สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities):

  • ความเสี่ยงที่ต้องการ Hedging: ความผันผวนของราคาน้ำมัน, ทองคำ, แก๊สธรรมชาติ, สินค้าเกษตร (เช่น ข้าวโพด, ถั่วเหลือง) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อต้นทุนการผลิตหรือรายได้ของธุรกิจ
  • วิธีการ Hedging:
    • ใช้ Futures Contract: ผู้ผลิตหรือผู้บริโภคสินค้าโภคภัณฑ์สามารถใช้สัญญา Futures เพื่อล็อคราคาซื้อหรือขายล่วงหน้าได้ ตัวอย่างเช่น สายการบินอาจซื้อ Futures น้ำมันเพื่อล็อคราคาน้ำมันเชื้อเพลิง หรือเกษตรกรอาจขาย Futures ผลผลิตทางการเกษตรเพื่อล็อคราคาขาย
ประเภทสินทรัพย์ ความเสี่ยงที่ต้องการ Hedging วิธีการ Hedging
ตลาดหุ้น ความผันผวนราคาหุ้น ซื้อ Put Option
สินค้าโภคภัณฑ์ ความผันผวนราคาน้ำมันและสินค้าเกษตร ใช้ Futures Contract
หลักทรัพย์ ผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย ใช้ Interest Rate Futures
คู่เงิน ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน ใช้ Forward Contracts

การทำความเข้าใจว่าสินทรัพย์แต่ละประเภทมีความเสี่ยงแบบใด และเครื่องมือ Hedging ใดที่เหมาะสม จะช่วยให้คุณสามารถสร้างเกราะป้องกันพอร์ตการลงทุนของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมสินทรัพย์หลากหลายประเภทและมีความน่าเชื่อถือสำหรับการเทรด การเลือกแพลตฟอร์มที่สนับสนุนการเทรดด้วย MT4, MT5 และ Pro Trader เช่น Moneta Markets จะช่วยให้คุณเข้าถึงเครื่องมือและสินค้าที่จำเป็นสำหรับการ Hedging ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการดำเนินการที่รวดเร็วและสเปรดต่ำ ทำให้การเทรดของคุณเป็นไปอย่างราบรื่น

ข้อดีและข้อควรพิจารณาของการ Hedging: ความสมดุลระหว่างการป้องกันและโอกาส

การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) เป็นกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็เหมือนกับทุกเครื่องมือทางการเงิน มันมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่คุณต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพื่อให้การนำไปใช้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่พลาดโอกาสที่สำคัญไป

ข้อดีของการ Hedging:

  • ๑. ลดความเสี่ยงในการขาดทุน: นี่คือวัตถุประสงค์หลักของการ Hedging การทำ Hedging ช่วยจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่พึงประสงค์ในตลาด ทำให้คุณสามารถบริหารจัดการพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีวินัยและมั่นใจยิ่งขึ้น
  • ๒. ล็อคราคาหรือผลตอบแทน: ในบางกรณี การ Hedging ช่วยให้คุณสามารถล็อคราคาซื้อหรือราคาขายของสินทรัพย์ในอนาคตได้ เช่น ผู้ผลิตน้ำมันสามารถล็อคราคาขายน้ำมันล่วงหน้าได้ หรือบริษัทนำเข้าสามารถล็อคอัตราแลกเปลี่ยนเพื่อควบคุมต้นทุน ทำให้สามารถวางแผนธุรกิจได้แม่นยำขึ้น และหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนจากความผันผวนของตลาด
  • ๓. สร้างความมั่นคงทางจิตใจ: เมื่อคุณรู้ว่าพอร์ตการลงทุนของคุณมีเกราะป้องกันความเสี่ยงในระดับหนึ่ง คุณจะสามารถลงทุนได้อย่างสบายใจมากขึ้น ไม่ต้องกังวลกับข่าวร้ายหรือความผันผวนรายวันมากเกินไป ช่วยให้คุณสามารถยึดมั่นในแผนการลงทุนระยะยาวได้
  • ๔. เพิ่มโอกาสในการตัดสินใจ: การ Hedging ทำให้คุณมีเวลามากขึ้นในการตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรกับสินทรัพย์หลักของคุณ โดยไม่ต้องรีบร้อนขายออกไปในช่วงที่ตลาดผันผวนรุนแรง
  • ๕. เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เงินทุน: ในบางกลยุทธ์ การ Hedging สามารถช่วยให้คุณใช้เงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยการลดการใช้ Margin หรือการถือครองสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงโดยไม่จำเป็น
ข้อดีของ Hedging คำอธิบาย
ลดความเสี่ยงในการขาดทุน ช่วยจำกัดการขาดทุนจากการเคลื่อนไหวราคาที่ไม่พึงประสงค์
ล็อคราคา ช่วยล็อคราคาซื้อ-ขายในอนาคตเพื่อการวางแผนธุรกิจ
สร้างความมั่นคง ช่วยลดความวิตกกังวลกับความผันผวนในตลาด
เพิ่มโอกาสการตัดสินใจ ทำให้มีเวลาตัดสินใจอย่างไม่ต้องรีบเร่ง
เพิ่มประสิทธิภาพเงินทุน ช่วยลดการใช้ Margin และสภาพคล่อง

ข้อควรพิจารณาของการ Hedging (ข้อเสีย/ข้อจำกัด):

  • ๑. ต้องการความเชี่ยวชาญและทักษะ: การใช้เครื่องมือ Hedging ที่ซับซ้อน เช่น สัญญา Futures, Options หรือ Swaps ต้องการความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ตลาด และกลยุทธ์การเทรด หากคุณไม่มีความเชี่ยวชาญเพียงพอ การ Hedging อาจกลายเป็นการเพิ่มความเสี่ยงแทนที่จะลดความเสี่ยง
  • ๒. มีต้นทุน: การทำ Hedging มักมีต้นทุนที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม ค่าคอมมิชชั่น หรือค่าพรีเมียม (สำหรับ Options) ต้นทุนเหล่านี้อาจลดทอนผลตอบแทนโดยรวมของคุณได้ หากคุณ Hedging มากเกินไปหรือใช้เครื่องมือที่ไม่เหมาะสม
  • ๓. อาจพลาดโอกาสทำกำไรจากความผันผวน: แม้ว่าการ Hedging จะช่วยลดความเสี่ยงขาลง แต่ก็หมายความว่าคุณอาจพลาดโอกาสในการทำกำไรสูงสุดหากตลาดเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นบวกอย่างไม่คาดคิด การจำกัดความเสี่ยงก็คือการจำกัดโอกาสในการทำกำไรด้วยเช่นกัน
  • ๔. ไม่ได้ป้องกันความเสี่ยงทั้งหมด: การ Hedging เป็นการลดความเสี่ยง แต่ไม่สามารถขจัดความเสี่ยงทั้งหมดได้เสมอไป ยังคงมีความเสี่ยงประเภทอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง หรือความเสี่ยงจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน (Black Swan events) ที่ไม่สามารถป้องกันได้ด้วยเครื่องมือทั่วไป
  • ๕. ความซับซ้อนในการบริหารจัดการ: การ Hedging พอร์ตการลงทุนที่ซับซ้อนต้องการการติดตามและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและเป้าหมายการลงทุนของคุณ
ข้อเสียของ Hedging คำอธิบาย
ต้องการความเชี่ยวชาญ การใช้เครื่องมือซับซ้อนต้องการความรู้ลึกซึ้ง
มีต้นทุนสูง มีค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายมากมาย
พลาดโอกาสกำไร อาจไม่สามารถทำกำไรสูงสุดหากตลาดเคลื่อนไหวดี
ไม่ครอบคลุมทุกความเสี่ยง ยังมีความเสี่ยงที่ไม่สามารถป้องกันได้
ซับซ้อนในการบริหาร ต้องมีการติดตามและปรับแก้กลยุทธ์

ดังนั้น การตัดสินใจว่าจะ Hedging หรือไม่ และจะ Hedging อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ต้องชั่งน้ำหนักระหว่างประโยชน์ในการลดความเสี่ยง กับต้นทุนและโอกาสที่อาจเสียไป คุณต้องมีความเข้าใจในตนเองและตลาดอย่างลึกซึ้ง เพื่อหาสมดุลที่เหมาะสมที่สุดสำหรับแผนการลงทุนของคุณ

สร้างแผนการ Hedging ของคุณ: ก้าวแรกสู่การเป็นนักลงทุนมืออาชีพ

หลังจากที่เราได้เรียนรู้ถึงแก่นแท้, ความสำคัญ, การประยุกต์ใช้ในกองทุนรวม, กลยุทธ์, เครื่องมือ, ประเภทสินทรัพย์, และข้อดีข้อเสียของการ Hedging ไปแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่เราจะมาดูกันว่า คุณจะสามารถเริ่มต้นสร้างแผนการป้องกันความเสี่ยงของตัวเองได้อย่างไร เพื่อก้าวสู่การเป็นนักลงทุนที่มีความเข้าใจและบริหารจัดการพอร์ตได้อย่างมืออาชีพ

ขั้นตอนที่ 1: ประเมินความเสี่ยงและเป้าหมายการลงทุนของคุณ

  • ทำความเข้าใจสินทรัพย์ของคุณ: คุณกำลังถือสินทรัพย์ประเภทใดอยู่บ้าง (หุ้น, พันธบัตร, กองทุนรวม, สินค้าโภคภัณฑ์) แต่ละสินทรัพย์มีความเสี่ยงเฉพาะตัวอย่างไรบ้าง?
  • ระบุความเสี่ยงที่คุณต้องการป้องกัน: คุณกังวลเรื่องอะไรมากที่สุด? ความผันผวนของราคาหุ้น? การแข็งค่าของเงินบาท? การขึ้นลงของอัตราดอกเบี้ย? การระบุความเสี่ยงที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณเลือกเครื่องมือ Hedging ได้ถูกต้อง
  • กำหนดเป้าหมายการ Hedging: คุณต้องการลดความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน? ต้องการล็อคกำไร? หรือเพียงแค่ต้องการลดความผันผวนของพอร์ต? การมีเป้าหมายที่ชัดเจนจะช่วยกำหนดระดับการ Hedging ที่เหมาะสม

ขั้นตอนที่ 2: ศึกษาและเลือกเครื่องมือ Hedging ที่เหมาะสม

  • พิจารณาความซับซ้อน: สำหรับนักลงทุนมือใหม่ การเริ่มต้นด้วยกลยุทธ์ที่เรียบง่าย เช่น การกระจายการลงทุน หรือการถือเงินสดบางส่วน จะเป็นการเริ่มต้นที่ดี
  • สำรวจเครื่องมือขั้นสูง: หากคุณมีประสบการณ์และเข้าใจตลาดมากขึ้น คุณอาจสำรวจการใช้ Futures, Options หรือ CFDs ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพแต่ก็มีความซับซ้อนสูง
  • ต้นทุนและสภาพคล่อง: พิจารณาต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือ Hedging แต่ละประเภท และสภาพคล่องของตลาดที่คุณจะเข้าทำธุรกรรม

ขั้นตอนที่ 3: กำหนดกลยุทธ์และดำเนินการ

  • กำหนดขนาดการ Hedging: คุณจะป้องกันความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน? จะ Hedging เต็มจำนวน (Full Hedge) หรือเพียงบางส่วน (Partial Hedge)?
  • วางแผนเข้าและออก: คุณจะเข้าทำสัญญา Hedging เมื่อใด และจะปิดสัญญาเมื่อใด? กำหนดจุดทำกำไรและจุดตัดขาดทุน (Stop-loss) ที่ชัดเจน
  • ดำเนินการ: ใช้แพลตฟอร์มการซื้อขายที่คุณคุ้นเคยและน่าเชื่อถือเพื่อดำเนินการตามแผนที่วางไว้

ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบและปรับเปลี่ยนแผนอย่างสม่ำเสมอ

  • ติดตามตลาด: สภาวะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ คุณต้องติดตามข่าวสารและปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ของคุณและกลยุทธ์ Hedging ที่ใช้
  • ประเมินผล: การ Hedging ของคุณมีประสิทธิภาพตามที่คาดไว้หรือไม่? มีอะไรที่ต้องปรับปรุงแก้ไข?
  • ปรับเปลี่ยนแผน: หากสถานการณ์เปลี่ยนไป หรือแผนเดิมไม่เหมาะสม คุณต้องพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ Hedging ของคุณ เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันอยู่เสมอ

การสร้างแผนการ Hedging ไม่ใช่เรื่องที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ แต่เป็นกระบวนการต่อเนื่องที่ต้องอาศัยการเรียนรู้ การปรับตัว และการฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ แต่เมื่อคุณเชี่ยวชาญแล้ว มันจะเป็นทักษะอันทรงพลังที่ช่วยให้คุณสามารถนำทางในตลาดการเงินได้อย่างมั่นใจและชาญฉลาด

หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มการเทรดที่รองรับการใช้งานหลากหลายและมีมาตรฐานสากลเพื่อใช้ในการวางแผน Hedging ของคุณ Moneta Markets ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ มันเป็นแพลตฟอร์มที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากหลายหน่วยงาน เช่น FSCA, ASIC และ FSA ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยของเงินทุนของคุณ นอกจากนี้ยังมีบริการเสริม เช่น VPS ฟรีและบริการลูกค้าสัมพันธ์ภาษาไทยตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกให้กับการเทรดของคุณเป็นอย่างมาก

บทสรุป: Hedging กุญแจสู่การลงทุนอย่างมั่นใจ

ตลอดบทความนี้ เราได้เดินทางสำรวจโลกของการ “ป้องกันความเสี่ยง” (Hedging) อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมายพื้นฐานที่ไม่ได้มุ่งเน้นการทำกำไรสูงสุด แต่เป็นการปกป้องเงินลงทุน ไปจนถึงการประยุกต์ใช้ในบริบทของกองทุนรวมต่างประเทศ การทำความเข้าใจความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงิน และการเลือกนโยบาย Hedging ที่เหมาะสมกับคุณ

เราได้เจาะลึกถึงกลยุทธ์ Hedging ที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการกระจายการลงทุนอันเป็นพื้นฐานสำคัญ การทำอาร์บิทราจที่ซับซ้อนขึ้น ไปจนถึงการถัวเฉลี่ยขาลง และการถือเงินสดเพื่อความยืดหยุ่น นอกจากนี้ เรายังได้ทำความรู้จักกับเครื่องมือ Hedging ที่ทรงพลังอย่างสัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) และตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการป้องกันความเสี่ยงในตลาดการเงินยุคใหม่

คุณได้เห็นแล้วว่าการ Hedging สามารถนำมาปรับใช้ได้กับสินทรัพย์เกือบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นหุ้น สินค้าโภคภัณฑ์ ตราสารหนี้ คู่เงิน หรือแม้แต่ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและศักยภาพของกลยุทธ์นี้ในการสร้างเกราะป้องกันให้กับพอร์ตการลงทุนของคุณ

สิ่งสำคัญที่สุดคือ การ Hedging ไม่ได้เป็นเพียงแค่เทคนิคทางการเงินที่ซับซ้อน แต่มันคือ “ปรัชญาการลงทุน” ที่มุ่งเน้นการ “บริหารจัดการความเสี่ยง” เป็นอันดับแรก ก่อนที่จะแสวงหาผลตอบแทนสูงสุด การป้องกันความเสี่ยงอย่างชาญฉลาดจะช่วยให้คุณรอดพ้นจากช่วงเวลาที่ตลาดผันผวน และรักษาเงินทุนของคุณไว้ได้ ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการเติบโตของการลงทุนในระยะยาว

ในฐานะนักลงทุน ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้น หรือนักเทรดที่มีประสบการณ์ที่ต้องการยกระดับความรู้ การทำความเข้าใจและการประยุกต์ใช้การ Hedging อย่างถูกวิธี จะเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยให้คุณสามารถรับมือกับความไม่แน่นอนของตลาดได้อย่างมั่นใจ และก้าวไปข้างหน้าสู่การบรรลุเป้าหมายทางการเงินที่คุณตั้งไว้ ขอให้คุณประสบความสำเร็จในการลงทุน!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับhedging คือ

Q:Hedging คืออะไร?

A:Hedging เป็นกลยุทธ์ในการป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยใช้เครื่องมือทางการเงินเพื่อลดผลกระทบจากการเคลื่อนไหวของตลาด

Q:ทำไมต้องใช้ Hedging?

A:การใช้ Hedging ช่วยลดความเสี่ยงในการขาดทุน รักษากำไรที่ทำไว้ และสร้างความมั่นใจในการลงทุน

Q:มีวิธีการ Hedging แบบไหนบ้าง?

A:วิธีการ Hedging มีหลากหลาย เช่น การกระจายการลงทุน การใช้สัญญาซื้อขายล่วงหน้า (Futures) หรือการใช้สัญญาออปชัน (Options)

amctop_com

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *