OTC คืออะไร? ทำความเข้าใจการซื้อขาย Over-the-Counter พร้อมข้อดี ข้อเสีย และความเสี่ยงที่ควรรู้

OTC คืออะไร? ทำความเข้าใจการซื้อขาย Over-the-Counter

การซื้อขายแบบ Over-the-Counter หรือที่รู้จักกันในชื่อย่อว่า OTC หมายถึงกระบวนการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ทางการเงินที่เกิดขึ้นตรงๆ ระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย หรือผ่านเครือข่ายตัวแทนจำหน่าย โดยไม่ต้องพึ่งพาตลาดแลกเปลี่ยนหลักที่เป็นระบบแบบดั้งเดิม ตลาดประเภทนี้โดดเด่นด้วยความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเงื่อนไขให้เหมาะสมกับทั้งสองฝ่ายได้ ทำให้กลายเป็นช่องทางหลักสำหรับการจัดการกับตราสารการเงินหลากหลายชนิด ซึ่งบางอย่างอาจไม่เหมาะกับตลาดที่มีการควบคุมอย่างเคร่งครัด

ภาพประกอบการแลกเปลี่ยนสินทรัพย์ทางการเงินโดยตรงโดยไม่มีศูนย์กลางการแลกเปลี่ยน พร้อมเครือข่ายตัวแทนจำหน่ายในพื้นหลัง

ด้วยลักษณะที่เปิดกว้างเช่นนี้ OTC จึงช่วยให้นักลงทุนเข้าถึงโอกาสที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องการทำธุรกรรมแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งเราจะมาสำรวจรายละเอียดกันต่อไป

OTC ย่อมาจากอะไร และความหมายทั่วไป

คำว่า OTC มาจากภาษาอังกฤษ Over-the-Counter ซึ่งแปลตรงตัวได้ว่า การทำธุรกรรมที่เกิดขึ้นเหนือหรือตรงเคาน์เตอร์ คำนี้มีรากฐานมาจากสมัยก่อนที่การซื้อขายหลักทรัพย์มักเกิดขึ้นที่โต๊ะทำงานของโบรกเกอร์หรือตัวแทนจำหน่ายโดยตรง แทนที่จะใช้กระดานประกาศหรือระบบอิเล็กทรอนิกส์ในตลาดหลัก ทว่าในยุคสมัยนี้ เมื่อพูดถึง OTC ในแวดวงการเงิน มันหมายถึงการซื้อขายที่อยู่นอกกรอบของตลาดหลักทรัพย์ หรือพูดง่ายๆ คือ การทำธุรกรรมแบบไม่มีจุดรวมศูนย์

ภาพประกอบโบรกเกอร์ยืนที่เคาน์เตอร์ทำการซื้อขายโดยตรงกับลูกค้า แสดงถึงจุดกำเนิดของแนวคิด over-the-counter

นอกจากนี้ คำว่า OTC ยังปรากฏในบริบทอื่นๆ นอกเหนือจากการเงิน เช่น ในวงการแพทย์ที่หมายถึงยาที่ซื้อได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งยา แต่ในบทความนี้ เราจะโฟกัสที่ความหมายในด้านการเงินเท่านั้น เพื่อให้เข้าใจชัดเจนและตรงประเด็น โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่สนใจการลงทุน

การทำงานของตลาด OTC แตกต่างจากตลาดหลักทรัพย์อย่างไร

จุดต่างหลักระหว่างตลาด OTC กับตลาดหลักทรัพย์ เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET คือเรื่องของโครงสร้างการซื้อขาย ตลาดหลักทรัพย์มีจุดรวมศูนย์ที่ชัดเจน มาพร้อมกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด ราคาที่อัปเดตแบบเรียลไทม์ และกระบวนการชำระเงินกับการส่งมอบที่เป็นมาตรฐาน ในทางตรงกันข้าม ตลาด OTC ทำงานแบบกระจายอำนาจ หรือแบบตัวต่อตัวระหว่างคู่ค้า โดยธุรกรรมเกิดขึ้นตรงๆ ระหว่างทั้งสองฝ่ายหรือผ่านเครือข่ายดิจิทัลของตัวแทนจำหน่ายหลายราย

ภาพเปรียบเทียบตลาดสองประเภท ตลาดรวมศูนย์ที่มีอาคารชัดเจนกับตลาดกระจายศูนย์ที่มีการเชื่อมต่อกระจัดกระจาย

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น ลองนึกถึงตลาดหลักทรัพย์ที่ทุกอย่างถูกควบคุมอย่างเป็นระบบ ในขณะที่ OTC ให้ความรู้สึกเหมือนการเจรจาส่วนตัวมากกว่า ซึ่งนำไปสู่ความยืดหยุ่นแต่ก็เพิ่มความซับซ้อนในการจัดการ

คุณสมบัติ ตลาด OTC (Over-the-Counter) ตลาดหลักทรัพย์ (Stock Exchange)
ศูนย์กลางการซื้อขาย กระจายศูนย์ (Decentralized) หรือแบบสองฝ่าย รวมศูนย์ (Centralized)
กลไกการซื้อขาย เจรจาโดยตรงระหว่างคู่สัญญาหรือผ่านดีลเลอร์ ซื้อขายผ่านระบบจับคู่คำสั่ง (Order Matching System)
ความโปร่งใสของราคา น้อยกว่า, ราคาอาจแตกต่างกันในแต่ละดีลเลอร์ สูง, แสดงราคาแบบเรียลไทม์ต่อสาธารณะ
การกำกับดูแล น้อยกว่า, กฎระเบียบน้อยกว่าและอาจแตกต่างกันไป เข้มงวด, มีหน่วยงานกำกับดูแลที่ชัดเจน (เช่น ก.ล.ต.)
มาตรฐานสัญญา ยืดหยุ่น, สามารถปรับแต่งได้ตามความต้องการ มาตรฐาน, มีการกำหนดขนาดและเงื่อนไขที่ชัดเจน
สภาพคล่อง อาจต่ำกว่า โดยเฉพาะสินทรัพย์เฉพาะทาง สูงกว่า สำหรับสินทรัพย์ที่มีการซื้อขายมาก
ตารางเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างตลาด OTC และตลาดหลักทรัพย์

บทบาทของโบรกเกอร์และดีลเลอร์ในตลาด OTC

ในระบบ OTC โบรกเกอร์และดีลเลอร์คือตัวละครหลักที่ช่วยให้การซื้อขายไหลลื่น โบรกเกอร์ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย โดยรับค่าบริการจากธุรกรรมที่เกิดขึ้น ขณะที่ดีลเลอร์ก้าวไปไกลกว่านั้น โดยเป็นผู้สร้างสภาพคล่องในตลาด ผ่านการเสนอราคาซื้อและราคาขายสำหรับสินทรัพย์ที่ตนสนใจ พวกเขาลงทุนเงินทุนส่วนตัวเพื่อซื้อขาย และสร้างรายได้จากช่องว่างราคาระหว่างสองฝั่งนั้น ความน่าเชื่อถือของดีลเลอร์จึงเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องพิจารณาอย่างละเอียด เพราะพวกเขาคือคู่สัญญาโดยตรง

ตัวอย่างเช่น ในตลาดหุ้นขนาดเล็ก ดีลเลอร์อาจช่วยให้ธุรกรรมเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องรอคู่ค้าที่ตรงกันเป๊ะๆ ซึ่งเป็นจุดแข็งที่ทำให้ OTC แตกต่าง

ประเภทของสินทรัพย์และตลาด OTC

ตลาด OTC ครอบคลุมสินทรัพย์การเงินหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะ那些ที่ไม่ได้จดทะเบียนหรือมีขนาดไม่ใหญ่พอสำหรับตลาดหลัก ทำให้เป็นพื้นที่สำหรับนวัตกรรมการลงทุนที่กว้างขวาง

หุ้น OTC: หุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์

หุ้น OTC หมายถึงหุ้นของบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักอย่าง NYSE NASDAQ หรือ SET ในไทย บริษัทเหล่านี้อาจหลีกเลี่ยงการจดทะเบียนเพราะไม่อยากเจอกับกฎเกณฑ์ที่ซับซ้อนหรือต้นทุนสูง หรือบางรายอาจเป็นสตาร์ทอัพที่ยังไม่พร้อม ในสหรัฐฯ มีตลาดหุ้น OTC ชื่อดังอย่าง OTC Markets Group ที่แบ่งเป็นชั้นต่างๆ เช่น OTCQX OTCQB และ Pink Sheets ซึ่งแต่ละชั้นมีความโปร่งใสต่างกัน ตามข้อมูลจาก Investopedia หุ้นเหล่านี้มักมีความเสี่ยงสูงเพราะข้อมูลบริษัทอาจไม่ครบถ้วนและสภาพคล่องจำกัด แต่ก็เปิดโอกาสให้เข้าถึงบริษัทเกิดใหม่ได้

ตราสารหนี้และอนุพันธ์ OTC

ส่วนใหญ่ ตลาดตราสารหนี้จะดำเนินการแบบ OTC เช่น พันธบัตรรัฐ หุ้นกู้ หรือตั๋วเงิน ซึ่งสถาบันการเงินใหญ่ๆ ทำธุรกรรมกันตรงๆ ผ่านเครือข่ายตัวแทน สำหรับอนุพันธ์ ก็เช่น สัญญาแลกเปลี่ยน สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบปรับแต่ง หรือสัญญาดอกเบี้ยล่วงหน้า ที่ซื้อขายแบบ OTC กันมาก สิ่งเหล่านี้ถูกออกแบบให้ตรงกับความต้องการเฉพาะ ทำให้เหนือกว่าตลาดหลักที่ใช้รูปแบบมาตรฐานเท่านั้น

สินค้าโภคภัณฑ์และสกุลเงิน OTC

สินค้าโภคภัณฑ์บางอย่าง เช่น น้ำมัน ก๊าซ หรือโลหะ貴 ก็มีการซื้อขาย OTC โดยเฉพาะในรูปสัญญาล่วงหน้าที่ปรับได้ตามสั่ง สำหรับตลาดเงินตราต่างประเทศ หรือ FX การซื้อขายสปอตแบบ OTC ถือเป็นตลาดใหญ่ที่สุดในโลก มีสภาพคล่องมหาศาล โดยธนาคารและสถาบันใหญ่เป็นตัวหลักในการสร้างราคา

ข้อดีและข้อเสียของการซื้อขาย OTC

ก่อนจะลงทุนใน OTC นักลงทุนควรชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียให้ดี เพื่อให้การตัดสินใจมีพื้นฐานที่มั่นคง

ข้อดี: ความยืดหยุ่น การเข้าถึง และต้นทุน

* **ความยืดหยุ่นและการปรับแต่งสัญญา:** จุดเด่นหลักคือสามารถปรับสัญญาให้พอดีกับทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าจะเรื่องขนาด ระยะเวลา หรือสินทรัพย์ที่อ้างอิง ซึ่งต่างจากตลาดหลักที่ทุกอย่างต้องเป็นมาตรฐาน
* **การเข้าถึงตลาดและสินทรัพย์ที่หลากหลาย:** เปิดประตูให้เข้าถึงบริษัทเล็กๆ สตาร์ทอัพ หรือสินค้าพิเศษที่ยังไม่ติดตลาดหลัก
* **ต้นทุนที่อาจต่ำกว่า:** บางครั้งค่าธรรมเนียมต่ำกว่าตลาดหลัก เพราะไม่ต้องจ่ายค่าจดทะเบียนหรือค่าดำเนินการศูนย์กลาง

ข้อเสีย: ความเสี่ยง สภาพคล่อง และความโปร่งใส

* **ความเสี่ยงด้านคู่สัญญา (Counterparty Risk):** ความเสี่ยงใหญ่ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำตามสัญญา ซึ่งอาจทำให้ขาดทุนหนัก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการความเสี่ยงนี้ โดยเฉพาะในอนุพันธ์
* **สภาพคล่องต่ำ:** สินค้าบางตัวซื้อขายน้อย ทำให้ขายยากหรือต้องลดราคาเพื่อหาผู้ซื้อ
* **ความโปร่งใสของข้อมูลและราคา:** ไม่มีการเปิดเผยราคาหรือปริมาณต่อสาธารณะสม่ำเสมอ ทำให้ประเมินมูลค่าลำบาก
* **การกำกับดูแลที่น้อยกว่า:** กฎเกณฑ์หลวมกว่า ซึ่งอาจเปิดช่องให้เกิดการฉ้อโกงหรือปฏิบัติไม่เป็นธรรม

ความเสี่ยงที่สำคัญในการลงทุนในตลาด OTC

การลงทุนใน OTC ต้องระวังความเสี่ยงเฉพาะตัวเหล่านี้ให้มาก เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด

ความเสี่ยงด้านคู่สัญญา (Counterparty Risk)

นี่คือปัญหาหลักของ OTC เพราะไม่มีหน่วยกลางค้ำประกัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา อีกฝ่ายอาจเสียหายเต็มๆ ดังนั้น การตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคู่ค้าจึงจำเป็นสุดๆ เช่น การดูประวัติหรือการใช้สัญญาป้องกัน

ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk)

ใน OTC สภาพคล่องมักต่ำกว่าตลาดหลัก โดยเฉพาะสินค้าที่ไม่ฮิต ถ้าต้องการขายด่วน อาจต้องยอมราคาต่ำหรือหาผู้ซื้อไม่ได้ ซึ่งต่างจากตลาดหลักที่ขายได้ง่ายกว่า

ความเสี่ยงด้านข้อมูลและการกำกับดูแล

ด้วยกฎเกณฑ์ที่ไม่เข้มงวดและขาดจุดรวมข้อมูล นักลงทุนอาจได้ข้อมูลไม่ครบ ทำให้ตัดสินใจลำบาก นอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อข้อพิพาทเพราะไม่มีระบบคุ้มครองที่แข็งแกร่งเท่าตลาดหลัก

บริบทของ OTC ในประเทศไทย

ในไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือ SET เป็นจุดหลักที่มีการควบคุมแน่นหนา แต่บางธุรกรรมอย่างตราสารหนี้ระหว่างสถาบัน หรืออนุพันธ์ที่ไม่มาตรฐานใน TFEX ก็คล้าย OTC อยู่ อย่างไรก็ตาม ตลาด OTC สำหรับหุ้นหรือสินทรัพย์อื่นๆ ในไทยไม่มีโครงสร้างชัดเจนเท่าต่างประเทศอย่าง OTC Markets Group ดังนั้น เมื่อกล่าวถึง OTC มักหมายถึงตลาดสากลเป็นหลัก แต่สำหรับนักลงทุนไทย การทำธุรกรรมเหล่านี้อาจต้องผ่านช่องทางนานาชาติหรือโบรกเกอร์ที่เชื่อถือได้

OTC อื่นๆ ที่พบบ่อย: แยกแยะความเข้าใจผิด

เพื่อป้องกันความสับสน เรามาชี้แจงความหมาย OTC ในบริบทอื่นๆ ที่อาจโผล่ในคำค้นหา เพื่อให้ผู้อ่านแยกแยะได้ชัดเจน

ยา OTC (Over-the-Counter Medication) คืออะไร

ยา OTC คือยาที่ซื้อได้จากร้านยาหรือห้างโดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ เช่น ยาแก้ปวด ยาลดกรด หรือยาแก้แพ้ สิ่งเหล่านี้ผ่านการรับรองจากหน่วยงานสาธารณสุขว่าปลอดภัยสำหรับใช้เอง โดยมีปริมาณต่ำและผลข้างเคียงน้อย ซึ่งต่างจาก OTC การเงินโดยสิ้นเชิง เพราะเกี่ยวข้องกับสุขภาพมากกว่าการลงทุน

สรุป: OTC เหมาะกับใครและควรพิจารณาอย่างไร

OTC เป็นตัวเลือกน่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่ต้องการปรับสัญญาให้ยืดหยุ่น เข้าถึงสินค้าพิเศษ หรือใช้กลยุทธ์ซับซ้อน แต่ก็มาพร้อมความเสี่ยงสูง เช่น ปัญหาคู่สัญญา สภาพคล่องน้อย และข้อมูลไม่โปร่งใส

ดังนั้น OTC จึงเหมาะกับนักลงทุนสถาบันหรือผู้มีประสบการณ์ที่จัดการความเสี่ยงได้ดี สำหรับรายย่อย ควรศึกษาลึกๆ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และประเมินขีดจำกัดตัวเองก่อน การเข้าใจ OTC อย่างแท้จริงจะช่วยให้ตัดสินใจฉลาดและควบคุมความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. OTC ย่อมาจากอะไรและมีความหมายอย่างไรในบริบทของการเงินและการลงทุน?

OTC ย่อมาจาก “Over-the-Counter” ซึ่งในบริบทของการเงินและการลงทุน หมายถึง การซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินที่เกิดขึ้นโดยตรงระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย หรือผ่านเครือข่ายของดีลเลอร์ โดยไม่ผ่านศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนอย่างตลาดหลักทรัพย์แบบดั้งเดิม

2. ตลาด Over-the-Counter (OTC) แตกต่างจากตลาดหลักทรัพย์ที่มีการควบคุมอย่างไรบ้าง?

ตลาด OTC เป็นตลาดแบบกระจายศูนย์ (Decentralized) มีการกำกับดูแลน้อยกว่า มีความโปร่งใสน้อยกว่า และสัญญาซื้อขายมักปรับแต่งได้ตามต้องการ ในขณะที่ตลาดหลักทรัพย์เป็นตลาดรวมศูนย์ มีการกำกับดูแลที่เข้มงวด มีความโปร่งใสสูง และสัญญาซื้อขายเป็นรูปแบบมาตรฐาน

3. มีสินทรัพย์ประเภทใดบ้างที่สามารถซื้อขายได้ในตลาด OTC?

สินทรัพย์ที่สามารถซื้อขายในตลาด OTC มีหลากหลาย ได้แก่:

  • หุ้น OTC: หุ้นของบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลัก
  • ตราสารหนี้: เช่น พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้
  • อนุพันธ์: เช่น สัญญาแลกเปลี่ยน (Swaps), สัญญาซื้อขายล่วงหน้าแบบกำหนดเอง
  • สินค้าโภคภัณฑ์: เช่น น้ำมัน ทองคำ (ในรูปแบบสัญญา)
  • สกุลเงิน: ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (FX Spot)

4. อะไรคือข้อดีและข้อเสียหลักที่นักลงทุนควรทราบเกี่ยวกับการซื้อขาย OTC?

ข้อดี:

  • ความยืดหยุ่นในการปรับแต่งสัญญา
  • การเข้าถึงบริษัทขนาดเล็กหรือตลาดเฉพาะทาง
  • อาจมีต้นทุนที่ต่ำกว่าในบางกรณี

ข้อเสีย:

  • ความเสี่ยงด้านคู่สัญญาที่สูง
  • สภาพคล่องที่อาจต่ำกว่า
  • ความโปร่งใสของข้อมูลและราคาที่น้อยกว่า
  • การกำกับดูแลที่น้อยกว่า

5. ความเสี่ยงสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในตลาด OTC มีอะไรบ้าง และจะบริหารจัดการได้อย่างไร?

ความเสี่ยงสำคัญคือ ความเสี่ยงด้านคู่สัญญา (Counterparty Risk), ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง (Liquidity Risk) และ ความเสี่ยงด้านข้อมูลและการกำกับดูแล การบริหารจัดการทำได้โดยการประเมินความน่าเชื่อถือของคู่สัญญาอย่างรอบคอบ, เลือกสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องพอสมควร, และหาข้อมูลจากแหล่งที่น่าเชื่อถือที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

6. หุ้น OTC คืออะไร และบริษัทเลือกที่จะซื้อขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ด้วยเหตุผลใด?

หุ้น OTC คือหุ้นของบริษัทที่ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์หลัก บริษัทอาจเลือกซื้อขายหุ้น OTC เพื่อหลีกเลี่ยงกฎระเบียบที่เข้มงวด ค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียนที่สูง หรืออาจเป็นบริษัทขนาดเล็กที่ยังไม่เข้าเกณฑ์การจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

7. “ยา OTC” (Over-the-Counter Medication) เหมือนหรือแตกต่างจากการซื้อขาย OTC ทางการเงินอย่างไร?

“ยา OTC” คือยาที่สามารถซื้อได้โดยไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์ ซึ่งแตกต่างจากการซื้อขาย OTC ทางการเงินโดยสิ้นเชิง ยา OTC เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ ในขณะที่ OTC ทางการเงินเกี่ยวข้องกับการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินนอกตลาดหลักทรัพย์

8. การซื้อขายในตลาด OTC มีการกำกับดูแลจากหน่วยงานใดบ้าง และมีความโปร่งใสในระดับใด?

การกำกับดูแลตลาด OTC โดยทั่วไปจะน้อยกว่าตลาดหลักทรัพย์ ไม่มีหน่วยงานกลางที่กำกับดูแลอย่างเข้มงวดเหมือนตลาดหลักทรัพย์ แต่จะอยู่ภายใต้กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสัญญาและการซื้อขายสินทรัพย์ทางการเงินโดยทั่วไป ความโปร่งใสจึงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าตลาดหลักทรัพย์มาก

9. นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงการซื้อขาย OTC ได้หรือไม่ และต้องเริ่มต้นอย่างไร?

นักลงทุนรายย่อยสามารถเข้าถึงการซื้อขาย OTC ได้ผ่านโบรกเกอร์หรือแพลตฟอร์มบางแห่งที่ให้บริการซื้อขายสินทรัพย์ OTC เช่น Forex หรือหุ้น OTC ในต่างประเทศ การเริ่มต้นควรรวมถึงการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด เลือกโบรกเกอร์ที่น่าเชื่อถือ และทำความเข้าใจความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง

10. ตัวอย่างของแพลตฟอร์มหรือตลาด OTC ที่สำคัญในระดับสากลมีอะไรบ้าง?

ตัวอย่างแพลตฟอร์มหรือตลาด OTC ที่สำคัญในระดับสากล ได้แก่ OTC Markets Group (สำหรับหุ้น OTC ในสหรัฐอเมริกา), ตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (Forex) ที่ดำเนินการแบบ OTC โดยธนาคารและดีลเลอร์ทั่วโลก และตลาดตราสารหนี้ระหว่างสถาบัน

amctop_com

發佈留言

發佈留言必須填寫的電子郵件地址不會公開。 必填欄位標示為 *